หลายๆคนคงจะเคยเห็นตัวเลข SPF และ PA บนฉลากบรรจุภัณฑ์พวก Sunscreen (โลชั่นหรือครีมกันแดด) กันมาบ้างแล้ว และก็คงสงสัยว่ามันคือค่าอะไร ยังไง
ก็ลองดูตามนี้เลยครับ
1. ค่า SPF
SPF ย่อมาจากคำว่า Sun protection factor ครับ ซึ่งจะเป็นค่าที่แสดงปริมาณรังสี UV ที่จะทำอันตรายต่อผิวของเราได้ ดังนั้น ยิ่งค่ามาก ก็ต้องใช้ปริมาณรังสี UV มากกว่าตัวที่ค่าน้อย จึงจะทำให้เกิดอันตรายต่อผิว
ดังนั้น ค่า SPF ยิ่งมากก็ยิ่งปกป้องผิวได้ดีกว่าค่า SPF น้อยครับ
ยกตัวอย่างง่ายๆ
- SPF 50 ก็หมายความว่า ต้องใช้พลังงานแสงระดับมากกว่า 50 จึงจะทำอันตรายต่อผิวเราได้
- SPF 30 ก็หมายความว่า ต้องใช้พลังงานแสงระดับมากกว่า 30 จึงจะทำอันตรายต่อผิวเราได้ ... ดังนั้น ถ้าเจอพลังงานแสงมากกว่า 30 เช่น 50 ... โลชั่นกันแดด SPF 30 ก็เอาไม่อยู่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม SPF นั้น เป็นค่าที่แสดงถึงการป้องกันรังสี UV ชนิด UVB เท่านั้นครับ ไม่ได้ปกป้องจาก UVA (ซึ่ง UVA อันตรายกว่า)
2. ค่า PA
PA ย่อมาจากคำว่า The Protection Grade of UVA เป็นค่าที่คุณจะพบการประเมินจากโลชั่นหรือครีมกันแดดจากญี่ปุ่นครับ ซึ่งแสดงถึงศักยภาพในการป้องกันแสงแดดจากรังสี UVA ครับ (ซึ่งหมายความว่า โลชั่นที่มีแสดงแค่ SPF ก็ใช่ว่าจะกัน UVA ไม่ได้ แต่อาจจะไม่ได้ระบุไว้แบบแบรนด์ญี่ปุ่น) ซึ่งแต่ละที่ก็ทำแตกต่างกันไป บางแห่งก็ใช้เป็นดาว บางที่ก็ใช้ค่า PPD ... แต่ที่เราจะคุ้นเคยก็คือค่า PA นี่แหละครับ แล้วตามด้วยเครื่องหมายบวก โดยจะบ่งบอกได้ตามนี้ครับ
- PA+ จะตีเป็นตัวเลขค่าความสามารถในการป้องกันแสงที่ 2-4
- PA++ จะตีเป็นตัวเลขค่าความสามารถในการป้องกันแสงที่ 4-8
- PA+++ จะตีเป็นตัวเลขค่าความสามารถในการป้องกันแสงมากกว่า 8
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ก็คงจะพอรู้กันแล้วนะครับ ว่าจะใช้ครีมกันแดดตัวไหนดี?
อย่างไรก็ตาม ยิ่งค่า SPF เยอะ หรือ PA เยอะ ก็ยิ่งหนายิ่งหนืด ยิ่งหนักครับ แลกกับความไม่สบายตัว
ก็ต้องชั่งใจดูละครับ ว่าวันธรรมดาที่อาจจะโดนแดดบ้าง จำเป็นต้องใช้ SPF เยอะๆหรือเปล่า?
แต่ถ้าไปเที่ยวทะเล เล่นน้ำทะเล บางทีก็อาจจะต้องยอมเหนอะหนะกันบ้าง เพราะจัดว่าโดนแสงแดดหนักจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น