Burger & Lobster - เบอร์เกอร์แอนด์ล็อบสเตอร์
ก็เป็นอีกร้านอาหารในอังกฤษที่ชื่อดังในหมู่คนไทยครับ มีสาขามาเปิดในประเทศไทยแล้วด้วยที่เกสรพลาซ่า (ปัจจุบันเป็น Gaysorn Village ไปแล้ว) แต่สาขาที่ผมไปกินและนำมารีวิวนี้เป็นสาขาในลอนดอนเลยครับ สาขาที่ห้าง Harvey Nichols ที่ติดๆใกล้ๆกับห้าง Harrods น่ะครับ ** ทริค: ไม่แนะนำสาขานี้ครับ ถ้าอยากแค่มาลองชิมล็อบสเตอร์ เพราะสาขานี้ไม่มีล็อบสเตอร์ไซส์เล็กให้เลือก (ขนาด 1 lbs) แต่มีแต่ขนาดกลางหรือ 1.5 lbs ให้เลือกในระดับเริ่มต้นครับ ซึ่งมีราคาแพงกว่า ... แต่ผมก็กินสาขานี้อ่ะนะ แล้วก็สั่งเบอร์เกอร์ราคาถูกมาอีกเมนู แล้วแบ่งล็อบสเตอร์กับแฟนครับ เพราะขนาด 1.5 ก็คือว่าใหญ่มากพอดูที่จะแบ่งกัน (กินคนละ 0.75 ก็มากโขอยู่นะครับ)
บรรยากาศในร้านครับ ถ้าสะดวกไปทานสาขาแถว Soho หรือ Chinatown ผมว่าไปกินที่นั่นจะดีกว่า
มีที่หนีบเปลือกให้ด้วยครับ
และเพื่อป้องกันภาวะเลี่ยนที่อาจจะเกิดขึ้น โค้กเท่านั้นครับ 555+
และแล้วล็อบสเตอร์ก็มาครับ เป็น Grilled Lobster หรือย่างเผามานั่นเอง หลักๆเมนูล็อบสเตอร์มีดังนี้ครับ
1. ย่าง
2. นึ่ง
3. โรล (แกะเอาเนื้อออกมาให้แล้ว ผสมซอสแล้วใส่มาในขนมปัง)
นอกจากนั้น ก็จะเลือกน้ำซอสได้ 2 แบบคือ
1. ซอสเนย
2. ซอสสูตรพิเศษของ Burger & Lobster ครับ
ราคาเท่าๆกันครับ
เนื้อล็อบสเตอร์แน่นเหนียวหนึบมากๆครับ ได้รสเข้มข้น อร่อยครับ ถ้าเทียบกับเนื้อกุ้งแม่น้ำหรือปูทะเล ล็อบสเตอร์จะหวานน้อยกว่าและก็เหนียวกว่าครับ กินคนละแบบ
และนี่ก็คือเบอร์เกอร์เนื้อครับ เบอร์เกอร์ก็อร่อยนะครับ สั่งเนื้อแบบ Well done คือสุกมาเลย แต่ก็ยังนิ่มอยู่ ใช้ได้ครับ
สรุปแล้ว อร่อยครับ สมคำร่ำลือ แต่แกะลำบากเหมือนกัน (เนื้อล็อบสเตอร์ตรงตัวแกะง่ายมาก ชิ้นใหญ่คำโต อร่อย ... แต่ตรงหัวและก้าม ยังแกะยากอยู่)
แล้วก็อย่างที่บอกครับ ถ้าแค่มาชิม ไปทานสาขาอื่นดีกว่า สาขา Harvey Nichols ไซส์ใหญ่ จ่ายแพงขึ้นครับ
รีวิวเป็ดย่าง Four Seasons ที่ลอนดอน (สาขา Bayswater)
เป็ดย่างโฟร์ซีซั่น (Four Seasons) นับว่าโด่งดังไกลจากกรุง London ประเทศอังกฤษ ระบือไกลไปยังประเทศไทย ถึงขนาดมีโฟร์ซีซั่นไปเปิดที่สยามพารากอนด้วย
ซึ่งจริงๆในลอนดอนเอง Four Seasons ก็จัดเป็นอาหารจีนสูตร Cantonese ที่มีชื่อพอควรอยู่แล้วครับ คนอังกฤษและคนจีนเองก็มาทานที่นี่กันเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้ดังเว่อร์อะไรขนาดนั้น และมีร้านอื่นๆที่คนนิยมกินไม่แพ้กัน เช่น Gold Mine, Hung's Restaurant หรือ New Fortune Cookie ซึ่งอาหารจีนสูตร Cantonese จะเน้นติ่มซำ เป็ดย่าง หมูกรอบ ไก่ย่างซอส และเมนูอาหารจีนอื่นๆ
แต่แน่นอนละ ว่าสำหรับคนไทย ถ้าจะลอง ไงๆก็ต้องลอง Four Seasons เป็นเจ้าแรก ให้รู้มาตรฐานก่อน จากนั้นจะไปกิน Gold Mine หรืออื่นๆที่เค้าว่ากันว่าอร่อยไม่แพ้ บ้างก็ว่าอร่อยกว่ากันดูอีกที ... สำหรับผมเอง ก็ไปประเดิมสาขา Bayswater เลยครับ เนื่องจากเป็นสาขาแรกที่เปิดให้บริการของโฟร์ซีซั่น (ซึ่งแฟนผมเคยไปกิน Little Four Seasons ในย่าน Soho และ Chinatown ใน London แล้ว ... พบว่ารสชาติไม่ต่างกัน ถ้าไม่ยึดติด ก็ทานสาขาอื่นก็ได้ครับ)
บรรยากาศภายในร้านครับ ถ้าไม่อยากรอคิว ไปประมาณเที่ยงตรงหรือเลยเที่ยงไม่เกินครึ่งชม. จะมีที่ว่างเยอะครับ แต่ถ้าหลังจากนั้น คนจะเริ่มแน่น ... ส่วนมื้อเย็น มักจะต้องคอยคิวครับ (Gold Mine ที่อยู่ใกล้ๆก็คิวแน่นเช่นกัน)
ผมไม่ได้สั่งเป็ดมาทานเป็นกับข้าว แต่สั่งข้าวหน้าเป็ดมาเลย จะเลือกเมนูนี้ก็ได้นะครับ เพราะเค้าใช้เป็ดส่วนเดียวกัน แต่ส่วนตัวผมไม่ได้สั่งเฉพาะข้าวหน้าเป็ดย่าง แต่สั่งรวมกับหมูกรอบ แล้วก็ไก่ย่างซอสมาด้วย
ส่วนจานนี้ข้าวหน้าเป็ดย่างกับหมูกรอบครับ
สำหรับรสชาติ ขอบอกว่า "อร่อยดี" ครับ ... แต่ไม่ได้เว่อร์วัง หรือว้าวมากมายอะไร แต่อร่อย ไม่ผิดหวัง
เพียงแต่ใครที่ชอบเป็ดย่างสูตรหนังกรอบๆหน่อย อาจจะไม่ชอบ เพราะที่นี่หนังจะนุ่มๆคล้ายๆเป็ดย่าง MK ครับ แต่ย่างคนละสูตรกับ MK ... บางคนชอบ MK มากกว่า Four Seasons ด้วยซ้ำ แต่บ้างก็ชอบแบบ Four Seasons มากกว่า แล้วแต่รสนิยมเลยครับ เพราะแม้จะสูตรนุ่มเหมือนกัน แต่ก็คนละสูตร ที่โฟร์ซีซั่นจะใช้น้ำซอสหวานๆกับซีอิ้วตัดอย่างเดียว หนังจะหอมการถูกเผามากกว่า MK แต่ของ MK จะแล่มาแบบแผ่นบาง กินพอดีคำและซอสหวานละมุนกว่า ... สรุปคือแล้วแต่ชอบจริงๆ (โดยส่วนตัวแล้ว ชอบแบบหนังกรอบนิดๆ ตอนไปกินร้านโนเนมที่สิงคโปร์ ย่าน Chinatown ผมว่าอร่อยกว่า Four Seasons มาก)
แต่เมนูที่ประทับใจมากๆกลับเป็นติ่มซำ อย่างเกี๊ยวกุ้งอันนี้ครับ กุ้งข้างในเป็นกุ้งที่ไม่ใช่กุ้งเนื้อใส แต่เนื้อแน่นๆแล้วก็เด้งสด อร่อยมากๆ ราดน้ำจิ้มเผ็ดนิดๆ เข้ากันมากๆ ... ยังไงๆร้านโฟร์ซีซั่นก็เป็นร้านอาหารจีน Cantonese ครับ เมนูอื่นๆก็น่าลอง
เครื่องปรุงที่มากับโต๊ะเลยก็มีพริกเผา ไม่หวานเท่าพริกเผาไทย แต่ไม่เค็มเท่าร้านจีนสูตรเสฉวน เป็นพริกเผาที่ละมุน อร่อยครับ ** ทริก: พริกเผาที่ให้มาน้อยเกินไปครับ ขอเค้าเพิ่มได้
อันนี้คือน้ำจิ้มและซอสที่เคียงมาแต่แรกครับ ซอสแดงๆคล้ายๆซอสศรีราชาครับ
ทานใกล้เสร็จ เค้ามีส้มมาให้ตัดเลี่ยนกินเล่นด้วย อันนี้ไม่ได้สั่งครับ เค้าให้มาเอง
และสุดท้าย รูปเกี๊ยวกุ้งครับ กัดให้ดูใส้ข้างใน ผมจิ้มซอสแล้ว เลยดูเหมือนเห็นเนื้อขาวๆนิดเดียว จริงๆคือข้างล่างนั่งก็เนื้อกุ้งล้วนๆนะครับ
สุดท้าย ที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยชินกับการทานอาหารในไทย นั่นคือการ ห่ออาหารเหลือกลับบ้านได้
ดังนั้น แนะนำครับ ** ทริค: กินเหลือ ขอเค้า Take away เมนูที่เหลือได้ครับ เค้าจะให้กล่องมาใส่ เอาก็ใส่เองได้เลย มีถุงหิ้ว Four Seasons ให้ด้วย (ร้านจีนในอังกฤษที่ไม่ใช่ร้านหรูเว่อร์ๆ ทำแบบนี้ได้ทุกร้านครับ)
ก็จบรีวิวเท่านี้ครับ สรุปแล้วคือลองได้ก็ไปลองครับ จะได้รู้ ... แต่ถ้าไม่สะดวกไปลอง หรือยังไม่อยากกินเป็ดย่าง ก็ไม่ต้องลองก็ได้ครับ รสชาติไม่ได้ถึงกับ "ต้องกิน" ขนาดนั้นครับ กินเพื่อให้ได้รู้เท่านั้นเอง แต่ถามว่าอร่อยไหม ก็อร่อยไม่ผิดหวังหรอกครับ ^ ^
ซึ่งจริงๆในลอนดอนเอง Four Seasons ก็จัดเป็นอาหารจีนสูตร Cantonese ที่มีชื่อพอควรอยู่แล้วครับ คนอังกฤษและคนจีนเองก็มาทานที่นี่กันเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้ดังเว่อร์อะไรขนาดนั้น และมีร้านอื่นๆที่คนนิยมกินไม่แพ้กัน เช่น Gold Mine, Hung's Restaurant หรือ New Fortune Cookie ซึ่งอาหารจีนสูตร Cantonese จะเน้นติ่มซำ เป็ดย่าง หมูกรอบ ไก่ย่างซอส และเมนูอาหารจีนอื่นๆ
แต่แน่นอนละ ว่าสำหรับคนไทย ถ้าจะลอง ไงๆก็ต้องลอง Four Seasons เป็นเจ้าแรก ให้รู้มาตรฐานก่อน จากนั้นจะไปกิน Gold Mine หรืออื่นๆที่เค้าว่ากันว่าอร่อยไม่แพ้ บ้างก็ว่าอร่อยกว่ากันดูอีกที ... สำหรับผมเอง ก็ไปประเดิมสาขา Bayswater เลยครับ เนื่องจากเป็นสาขาแรกที่เปิดให้บริการของโฟร์ซีซั่น (ซึ่งแฟนผมเคยไปกิน Little Four Seasons ในย่าน Soho และ Chinatown ใน London แล้ว ... พบว่ารสชาติไม่ต่างกัน ถ้าไม่ยึดติด ก็ทานสาขาอื่นก็ได้ครับ)
บรรยากาศภายในร้านครับ ถ้าไม่อยากรอคิว ไปประมาณเที่ยงตรงหรือเลยเที่ยงไม่เกินครึ่งชม. จะมีที่ว่างเยอะครับ แต่ถ้าหลังจากนั้น คนจะเริ่มแน่น ... ส่วนมื้อเย็น มักจะต้องคอยคิวครับ (Gold Mine ที่อยู่ใกล้ๆก็คิวแน่นเช่นกัน)
ผมไม่ได้สั่งเป็ดมาทานเป็นกับข้าว แต่สั่งข้าวหน้าเป็ดมาเลย จะเลือกเมนูนี้ก็ได้นะครับ เพราะเค้าใช้เป็ดส่วนเดียวกัน แต่ส่วนตัวผมไม่ได้สั่งเฉพาะข้าวหน้าเป็ดย่าง แต่สั่งรวมกับหมูกรอบ แล้วก็ไก่ย่างซอสมาด้วย
ส่วนจานนี้ข้าวหน้าเป็ดย่างกับหมูกรอบครับ
สำหรับรสชาติ ขอบอกว่า "อร่อยดี" ครับ ... แต่ไม่ได้เว่อร์วัง หรือว้าวมากมายอะไร แต่อร่อย ไม่ผิดหวัง
เพียงแต่ใครที่ชอบเป็ดย่างสูตรหนังกรอบๆหน่อย อาจจะไม่ชอบ เพราะที่นี่หนังจะนุ่มๆคล้ายๆเป็ดย่าง MK ครับ แต่ย่างคนละสูตรกับ MK ... บางคนชอบ MK มากกว่า Four Seasons ด้วยซ้ำ แต่บ้างก็ชอบแบบ Four Seasons มากกว่า แล้วแต่รสนิยมเลยครับ เพราะแม้จะสูตรนุ่มเหมือนกัน แต่ก็คนละสูตร ที่โฟร์ซีซั่นจะใช้น้ำซอสหวานๆกับซีอิ้วตัดอย่างเดียว หนังจะหอมการถูกเผามากกว่า MK แต่ของ MK จะแล่มาแบบแผ่นบาง กินพอดีคำและซอสหวานละมุนกว่า ... สรุปคือแล้วแต่ชอบจริงๆ (โดยส่วนตัวแล้ว ชอบแบบหนังกรอบนิดๆ ตอนไปกินร้านโนเนมที่สิงคโปร์ ย่าน Chinatown ผมว่าอร่อยกว่า Four Seasons มาก)
แต่เมนูที่ประทับใจมากๆกลับเป็นติ่มซำ อย่างเกี๊ยวกุ้งอันนี้ครับ กุ้งข้างในเป็นกุ้งที่ไม่ใช่กุ้งเนื้อใส แต่เนื้อแน่นๆแล้วก็เด้งสด อร่อยมากๆ ราดน้ำจิ้มเผ็ดนิดๆ เข้ากันมากๆ ... ยังไงๆร้านโฟร์ซีซั่นก็เป็นร้านอาหารจีน Cantonese ครับ เมนูอื่นๆก็น่าลอง
เครื่องปรุงที่มากับโต๊ะเลยก็มีพริกเผา ไม่หวานเท่าพริกเผาไทย แต่ไม่เค็มเท่าร้านจีนสูตรเสฉวน เป็นพริกเผาที่ละมุน อร่อยครับ ** ทริก: พริกเผาที่ให้มาน้อยเกินไปครับ ขอเค้าเพิ่มได้
อันนี้คือน้ำจิ้มและซอสที่เคียงมาแต่แรกครับ ซอสแดงๆคล้ายๆซอสศรีราชาครับ
ทานใกล้เสร็จ เค้ามีส้มมาให้ตัดเลี่ยนกินเล่นด้วย อันนี้ไม่ได้สั่งครับ เค้าให้มาเอง
และสุดท้าย รูปเกี๊ยวกุ้งครับ กัดให้ดูใส้ข้างใน ผมจิ้มซอสแล้ว เลยดูเหมือนเห็นเนื้อขาวๆนิดเดียว จริงๆคือข้างล่างนั่งก็เนื้อกุ้งล้วนๆนะครับ
สุดท้าย ที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยชินกับการทานอาหารในไทย นั่นคือการ ห่ออาหารเหลือกลับบ้านได้
ดังนั้น แนะนำครับ ** ทริค: กินเหลือ ขอเค้า Take away เมนูที่เหลือได้ครับ เค้าจะให้กล่องมาใส่ เอาก็ใส่เองได้เลย มีถุงหิ้ว Four Seasons ให้ด้วย (ร้านจีนในอังกฤษที่ไม่ใช่ร้านหรูเว่อร์ๆ ทำแบบนี้ได้ทุกร้านครับ)
ก็จบรีวิวเท่านี้ครับ สรุปแล้วคือลองได้ก็ไปลองครับ จะได้รู้ ... แต่ถ้าไม่สะดวกไปลอง หรือยังไม่อยากกินเป็ดย่าง ก็ไม่ต้องลองก็ได้ครับ รสชาติไม่ได้ถึงกับ "ต้องกิน" ขนาดนั้นครับ กินเพื่อให้ได้รู้เท่านั้นเอง แต่ถามว่าอร่อยไหม ก็อร่อยไม่ผิดหวังหรอกครับ ^ ^
รีวิวเที่ยว Hallstatt ฮัลสตัทท์สวยสมคำร่ำลือ!!
Hallstatt, Austria - ฮัลล์สตัทท์ ประเทศออสเตรีย ชื่อนี้กลายเป็น Top destination ของเหล่าชาวไทยตอนไปทริปท่องเที่ยวยุโรปไปแล้วเรียบร้อย ไม่ว่าจะทริปหลายประเทศ หรือเจาะจงน้อยประเทศ ... ก็มักจะมี Hallstatt ติดโผมาในทริปอยู่เสมอๆ ... เรียกได้ว่า ไปยุโรปแต่ไม่ได้ไปฮัลสตัท ก็เหมือนไปไม่ถึงกันเลยทีเดียว (จริงๆก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่ในไทยที่นี่ดังจริงๆ)
ส่วนตัวตอนไปเที่ยว ผมไปเองไม่ได้ไปกับทัวร์
ก็เลยแวะพักค้างที่ Salzburg แล้วจึงเดินทางไปเที่ยว Hallstatt เองแบบเที่ยวเช้าเย็นกลับ One day trip น่ะครับ
มีทริคมาฝากดังนี้ครับ
** (1) นั่งรถบัสไปลง Bad Ischl แล้วต่อรถไฟ ไป Hallstatt เวิร์คสุด
เพราะว่าไม่มีรถไฟตรงมา Hallstatt ครับ แต่มีทางเลือกรถไฟต่อรถไฟด้วย เพียงแต่ว่าสูตรรถไฟต่อรถไฟนั้น รถไฟขบวนแรกจะอ้อมขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ Attnang Puchheim ทำให้แม้จะเป็นการนั่งรถไฟ ก็ไม่เป็นการทุ่นเวลาเท่าใด การนั่งรถบัสจึงสะดวกในแง่ของ "ชมวิวระหว่างทาง" ครับ
** (2) ช่วงนั่งรถบัส นั่งฝั่งซ้ายเพื่อชมวิวด้านซ้ายของตัวรถ
หากนั่งฝั่งนี้ จะได้ชมวิวทะเลสาปถึง 2 ทะเลสาบเลยครับ ได้แก่ Fuschlsee กับ Wolfgangsee ครับ
** (3) ช่วงต่อรถไฟ นั่งฝั่งขวาเพื่อชมวิวด้านขวาของรถไฟครับ
หากนั่งฝั่งนี้ จะได้ชมวิวทะเลสาปของ Hallstatt เองเลยครับ ... ก็ได้ชมวิวจากบนขบวนรถไฟก่อนจะถึงเมือง Hallstatt
ภาพด้านล่างนี้คือวิวบางช่วงของตอนนั่งบัสจากการนั่งฝั่งซ้ายครับ
และนี่คือวิวบางช่วงตอนนั่งรถไฟก่อนถึง Hallstatt จากการนั่งฝั่งขวา
พอลงรถไฟ คุณจะเจอสถานีร้างๆ ไม่มีอะไรให้ชมเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องเผื่อเวลาตรงนี้นะครับ เตรียมใจว่ามาถึงปุ๊บก็นั่งเรือข้ามฟากไปเมือง Hallstatt เลยดีกว่า
ภาพนี้คือวิวขณะนั่งบนเรือครับ ใกล้ถึง Hallstatt แล้ววววว!!
ใกล้เข้ามาอีกนิดครับ วิวสวยมากๆ
ตอนผมไป ไปช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เปลี่ยนสีครับ เป็นสีเหลืองๆส้มๆ สวยไม่เบาเลยทีเดียวครับ
บางคนไปหน้าร้อน ก็จะดีอีกแบบ เขียวขจี ไปหน้าหนาวก็ได้วิวหิมะ ที่นี่หิมะตกง่ายครับ
และแล้ว เรือก็มาเทียบท่า จุดที่เรือเทียบท่าก็จะใกล้ๆกับ Square กลางเมืองของ Hallstatt เลยครับ
ถ่ายให้ดูใบไม้เปลี่ยนสี ... และจุดชมวิวแหลมๆสามเหลี่ยมที่เห็นอยู่ด้านบน จุดชมวิวนี้สามารถเดินขึ้นไปได้นะครับ มีทางเดิน แต่ส่วนใหญ่นั่งรถรางขึ้นไปสะดวกรวดเร็วกว่า
ภาพนี้คือบริเวณ Square ใจกลางของเมือง ตามแผนที่ใน Google map คือ "Marktplatz Hallstatt" เสียดายวันที่ไปมีการปรับพื้นที่ บริเวณพื้นเลยไม่สวยนัก
เดินมาบริเวณริมน้ำครับ จะมีหงส์อยู่ประปราย ไม่มากแต่ก็พบได้ทั่วไป และมันก็ปรี่เข้ามาใกล้นักท่องเที่ยวด้วย คาดว่าคงจะมีีคนให้อาหาร
จุดถ่ายรูปติดริมทะเลสาปภาพนี้คือบริเวณด้านหลังโบสถ์ "Evangelische Pfarrkirche Hallstatt" ครับ คือใกล้ๆกับจุดที่ลงเรือมาเลยครับ เดินเลาะไปด้านหลังโบสถ์นิดเดียว บางคนไม่รู้เดินเลยไปตามถนนเลย ตรงนี้เก็บวิวได้สวยมากๆอีกจุดหนึ่ง
วิวด้านหลังโบสถ์อีกมุมครับ
ยังคงกลับมาถ่ายรูปเล่น ดูใบไม้เปลี่ยนสีด้านหลังเมืองสวยๆอย่าง Hallstatt
ช่วงที่ไปคือ 15 ตุลาคม ใบไม้เปลี่ยนสี ครับ ดังนั้น ใครอยากไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็เล็งๆแพลนไปช่วงนี้ได้ บวกลบสัก 1 สัปดาห์ หรือภายในเดือนตุลาคมน่าจะกำลังดีครับ ไปก่อนก็พอไหว เพราะใบไม้จะเริ่มเหลืองๆ หรือต่อให้เขียวขจีก็สวยไปอีกแบบ ... แต่ถ้าไปหลังจากนั้นมากๆ ใบไม้จะแห้งน้ำตาลๆไม่สวยครับ เพียงแต่อาจจะได้ลุ้นหิมะตกแทน
จาก Marktplatz ก็เลาะไปตามทางครับ
เจอซอกตรงไหนเดิน น่าจะถ่ายรูปสวย ก็เดินเข้าไป ภาพด้านล่างนี้ถ่ายบริเวณตำแหน่ง 47.561078, 13.648449 ครับ ตามรอยใน Google map ได้เลยครับ
เดินเลาะถนนไปทางใต้ต่อไป (เพื่อไปขึ้นรถรางขึ้นเขาจุดชมวิวด้านบนของเมือง) ก็จะผ่านร้านอาหารร้านนี้ เท่าที่เห็นผมว่าร้านนี้วิวสวยที่สุดแล้ว ราคาแพงกว่าร้านอื่นนิดหน่อย ไม่ได้แพงกว่ามาก รวมค่าวิว ผมว่าโอเค (แต่ผมไม่ได้กินร้านนี้ แต่มันมีราคาแปะให้ดูครับ)
เดินลงใต้ต่อไปก็จะเจอถนนเลียบทะเลสาบ ตรงนี้ถ่ายรูปได้ตลอดทางเลยครับ บ้านเรือนสวย ทะเลสาบและภูเขาก็วิวสวยมากๆ
ที่นี่นักท่องเที่ยวชาวไทยเยอะมากๆครับ ทั้งมาเที่ยวกันเองและกรุ๊ปทัวร์ (ส่วนใหญ่จะเป็นทริปซัลเบิร์ก ฮัลสตัท เวียนนา ... บ้างก็เลาะมาจากเยอรมัน ปราสาทนอย สวิสเซอแลนด์ครับ)
ร้านอาหารร้านนี้ก็วิวดีครับ มีหลายร้านหลายมุมให้เลือกครับ ราคาแต่ละร้านไม่ถูกแต่ไม่ได้แพงมากมายอะไร วางแผนมาทางอาหารใน Hallstatt ได้ครับ เพียงแต่เมนูอาจจะไม่น่ากินมากนัก มักเป็นพวกใส้กรอกกับเฟรนช์ฟรายเป็นส่วนใหญ่
จากนั้นก็เป็นอีกจุดที่เหมาะแก่การมาถ่ายรูปครับ บริเวณ ATO Hallstatt Lahn (Schiffstation) ตำแหน่งบนแผนที่คือ 47.557062, 13.647532 ครับ
ซูมกล้องเข้าไป จะได้ภาพวิวแบบนี้ครับ
จากนั้นก็เดินเลาะไปเรื่อยๆตามทางเพื่อไปขึ้นรถรางขึ้นเขาต่อ ก็จะผ่านลำธารน้ำสวยๆ ภาพนี้ถ่ายที่ตำแหน่ง 47.555783, 13.647431 ครับ (จริงๆคือเดินอ้อมไปนิดหน่อยครับ จึงจะผ่านวิวนี้ 555+)
จากนั้นเราก็มาขึ้นรถรางขึ้นเขากันที่สถานี Salzbergbahn Hallstatt ครับผม ใช้เวลาไม่นานบนรถราง แทบไม่ได้ถ่ายรูปเลยครับ แต่ไม่ต้องห่วง ด้านบนจุดที่เพิ่งลงจากรถรางมีตำแหน่งให้มองย้อนมาถ่ายรูปได้ครับ
จุดที่ว่าก็คือบริเวณนี้ครับ ขึ้นมาก็ถ่ายรูปตรงนี้ก็ได้ วิวสวยมากๆ เห็นเมืองฝั่งทางใต้ของ Hallstatt
วิวด้านบนสวยงามมากๆ แพคเกจรถรางนี้ มีทั้งแบบ (1) นั่งรถรางขาขึ้นเฉยๆ (แล้วค่อยเดินลง) (2) นั่งรถรางไป-กลับ และ (3) นั่งรถรางไปกลับพร้อมชมเหมืองเกลือครับ ผมไม่ได้เข้าเหมืองเกลือ จ่ายแค่แพคเกจไปกลับ เพราะแฟนบอกว่ากลัว ไม่กล้าเข้า 555+ อีกอย่างก็คือไม่ได้อยากเข้ามากขนาดนั้นน่ะครับ เพราะเป็นถ้ำเจาะเข้าไป มีเกลือมาโชว์บ้าง เลยไม่ได้เอาภาพเหมืองเกลือมาฝากกัน ... แต่จริงๆก็จัดว่าน่าสนใจนะครับ เพราะว่าเป็นเหมืองเกลือเก่าแก่หลักร้อยปีครับ
แต่ผมก็ เดินไปนี่ดีกว่า จุดชมวิว มีร้านอาหารด้วย Restaurant Rudolfsturm ... อ้อ จะมาทานอาหารเที่ยงบนนี้ก็ได้นะครับ นี่ก็วิวหลักล้าน ราคาหลักหลายร้อยครับ พอสู้ราคาไหว ไหนๆก็จ่ายเงินมาถึงนี่แล้ว
วิวและบรรยากาศครับ แต่ผมไม่เลือกทานที่นี่เพราะ ... ร้อน
มีบางมุม มองลงไปเห็นเมืองหลักของ Hallstatt เต็มๆ สวยไปอีกแบบ
และจุดชมวิวที่ห้ามพลาดครับ!! ไฮไลท์หนึ่งของที่นี่ มาฮัลสตัทแล้วไม่แวะขึ้นมาชมวิวบนนี้ก็จัดว่าพลาดเหมือนกัน
คนอาจจะดูเยอะ แต่ไม่มีใครแย่งคิวถ่ายรูปบริเวณสามเหลี่ยมหัวมุมนะครับ ส่วนใหญ่ก็ถ่ายรูปพอประมาณ คนละ 4-5 รูป แล้วก็ให้คนถัดไปถ่ายครับ ทำให้รอคิวไม่นาน และไม่ต้องแก่งแย่งกัน อย่างไรก็ตามแนะนำว่าอย่าถ่ายรูปกันหนักหน่วงเหมือนครองทำเลกันนะครับ ก็พอหอมปากหอมคอพอครับ เพราะเท่าที่เห็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีมารยาท หากคนไทยไปถ่ายรูปไม่ยอมจบตอนตัวเองได้คิว คงสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับประเทศเปล่าๆ (ถ้าเค้ารู้ว่าคนไทยอ่ะนะ เหอๆๆ)
จากนั้นก็ลงรถรางลงมา ... ถ่ายภาพนี้ตอนขาลงครับ
และ ที่ห้ามพลาดคือ จุดชมวิวหลักของเมือง ... ผมไปเที่ยวด้านบนจุดชมวิวด้านบนเขาก่อนเดินมาจุดนี้ เพราะตอนเช้าตรงนี้เหมือนถ่ายย้อนแสงน่ะครับ
แต่ก็เข้าช่วงกึ่งๆใกล้ฤดูหนาวแล้ว ดวงอาทิตย์ก็อยู่ซีกเดียวของท้องฟ้า ก็เลยยังย้อนแสงนิดๆอยู่ดี แต่ยังดีกว่าช่วงเช้าที่ตอนนั้นจะย้อนแสงเต็มๆ ... บริเวณจุดชมวิวนี้ คาดว่าไม่มีใครพลาด แต่ถ้าเผื่อหาไม่เจอ ก็บอกไว้ก่อนว่าทำเลคือบริเวณ 47.564576, 13.649889 ครับ (แต่จริงๆไม่ต้องกลัวหาไม่เจอครับ จากบริเวณจุดลงเรือ ก็เดินไปทางเหนือตามถนนก็เจอครับ ถนนมีเส้นเดียวด้วย)
และอีกไฮไลท์ หัวกระโหลกเพนท์ชื่อและลวดลาย เป็นพิธีกรรมสมัยเก่า ปัจจุบันไม่ได้ทำกันแล้ว แต่ก็ยังมีการเก็บรักษากระโหลกศีรษะเก็บไว้ เข้าชมได้ เสียเงินกุ๊บกิ๊บครับ ไม่มาก คุ้นๆว่า 1-2 ยูโร เข้ามาชมก็ดีครับ จากจุดชมวิวหลัก เดินขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ๆ ไปยังโบสถ์ Maria am Berg ด้านบนก็จะเจอ Beinhaus, Karner, Ossuary เป็นคล้ายๆกระท่อมหลังเล็กๆครับ เข้าไปชมด้านในได้เลย (มีบทความภาษาไทยบรรยายความเป็นมาด้วยครับ)
บริเวณนี้ก็จะมีสุสานด้วย ป้ายสุสานที่นี่ทำเป็นเหมือนมีหลังคาด้วย น่ารักไม่เหมือนที่อื่นๆครับ
เดินเข้าไปชมด้านในโบสถ์ซะหน่อย ไม่ใช่โบสถ์ใหญ่อลังการ แต่ก็สวยดีครับ
จากโบสถ์ Maria am Berg ถ้าไม่รีบเดินลง แล้วเดินเลาะตามทางบนเนินเขาไปทางใต้ ก็จะมีบริเวณชมวิวสูงของเมืองแบบนี้ด้วย (เดินต่อๆไป สามารถขึ้นเขาไปจุดชมวิว Skywalk ได้ แต่คงเหนื่อยมากๆครับ ไม่แนะนำ นั่งรถรางขึ้นไปน่ะดีแล้ว เว้นแต่ว่ามานอนค้าง Hallstatt อยากจะเดินก็แล้วแต่ครับ)
ก็เป็นอีกจุดชมวิวที่สวยดี ผมไม่ค่อยเห็นภาพจากบริเวณนี้จากรีวิวฮัลสตัทอื่นๆเท่าไหร่ แต่ผมว่าสวยน่าเดินขึ้นมาดีนะครับ ไม่ไกลมาก
ขึ้นมาอีกหน่อยจะเจอลานจอดรถ (มีถนนตัดผ่านเจาะภูเขา แล้วเค้ามาจอดรถกันบริเวณนี้ มีน้ำตกด้วย)
วิวจากลานจอดรถครับ (ทำเลคือ 47.562329, 13.648073 ครับ เผื่อสนใจ มีจุดเดินขึ้นมาได้สองจุดคือด้านหลัง Welterbemuseum Hallstatt หรือเดินต่อมาจากโบสถ์ Maria am Berg ครับ)
ผมได้เดินลุยป่าขึ้นมาอีกหน่อย ไม่ต้องเดินตามมาก็ได้นะครับ จุดนี้ เพราะมันเหนื่อย 555+ แต่ผมอยากรู้ว่าน้ำตกด้านบนจะสวยไหม เลยลองเดินมาดู
ก็จะเห็นวิวน้ำตกประมาณนี้ เดินต่อไปได้อีกนะครับ (ทางนี้สามารถไปจุดชมวิวด้านบนเขาแทนการขึ้นรถรางได้) แต่ผมหยุดเดินละ คาดว่าวิวไม่คุ้มค่าเหนื่อยมาก)
ก็เลยเดินลงมาถ่ายรูปในเมืองต่อดีกว่า ^ ^
มีคนมาถ่ายรายการบริเวณ Marktplatz ด้วย ใส่หมวกนิรภัย คาดว่าพูดคุยเรื่องการปรับพื้นที่บริเวณนี้
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ลับหลังเขาไปแล้วครับ ก็เลยไม่เห็นท้องฟ้าสีฟ้าๆ บรรยากาศช่วงเย็นก็จะครึ้มๆหน่อย ใครมาเที่ยวก็วางแผนถ่ายรูปกันดีๆนะครับ จริงๆยังไม่เย็นมาก แต่ภูเขาสูงล้อมอยู่รอบเมือง แค่ช่วงบ่ายๆหน่อยประมาณบ่าย 2-3 ก็อาจจะเกิดกรณีภูเขาบังดวงอาทิตย์ได้ บรรยากาศก็จะสดใสน้อยลง รีบถ่ายรูปตอนแดดยังดีอยู่จะดีกว่าครับ
มาถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิวอีกรอบ บรรยากาศแบบแสงไม่มาก
ภาพบริเวณท่าเรือครับ ผมจะนั่งเรือข้ามฟากไปรอรถไฟเพื่อกลับ Salzburg กันละ
วิวขณะนั่งเรือกลับครับ ... แนะนำว่าถ้าขามา นั่งเรือฝั่งขวา ขากลับก็นั่งฝั่งขวาเหมือนเดิมครับ เพราะจะได้เห็นวิวทั้งสองฟากจากขาไปและกลับ
ปล. รีิวิวร้านอาหารที่ผมได้แวะไปทานมาหน่อย ไม่แนะนำนะครับ อาหารผมว่าธรรมดาไม่อร่อย แต่ก็กินได้ เพียงแต่วิวใช้ได้ครับ และถ้ารู้สึกหนาวๆไม่อยากนั่งทาน outdoor แต่อยากได้วิว ร้านนี้ก็พอเห็นวิวทะเลสาบบ้าง ร้านนี้คือร้าน Seecafé Frundsberg อยู่ทำเล 47.556482, 13.647978 ครับ (แต่ถ้าไม่คิดจะนั่งด้านในร้าน ไม่แนะนำครับ)
บรรยากาศจากด้านในร้านครับ ได้ชมวิวบ้างเหมือนกันแบบนี้ครับ ถ้าอากาศตอนที่ไปค่อนข้างหนาว ก็จัดว่าเป็นร้านที่น่าสนใจ (แต่ถ้าอาหารเย็นสบาย อยากนั่ง outdoor ไปร้านอื่นดีกว่า)
อาหารก็อย่างที่เห็นครับ ตอนไปมีเมนูให้เลือกน้อย ไม่ประทับใจมาก เลยเอาไส้กรอกกินกับขนมปังมา ไส้กรอกธรรมดา ขนมปังไม่อร่อย แต่ที่ดีคือมัสตาร์ดสดๆขูดฝอยครับ กลายเป็นของเคียงอร่อยดี
ก็จบรีวิว Hallstatt แต่เพียงเท่านี้ครับ ยังไงจะพาไปชมเมือง Salzburg กันต่อครับ
ผมค้างที่ซัลเบิร์กแล้วมาเที่ยวที่ Hallstatt น่ะครับ ก็เลยได้ใช้เวลาใน Salzburg เยอะกว่า Hallstatt มากๆ
ส่วนตัวตอนไปเที่ยว ผมไปเองไม่ได้ไปกับทัวร์
ก็เลยแวะพักค้างที่ Salzburg แล้วจึงเดินทางไปเที่ยว Hallstatt เองแบบเที่ยวเช้าเย็นกลับ One day trip น่ะครับ
มีทริคมาฝากดังนี้ครับ
** (1) นั่งรถบัสไปลง Bad Ischl แล้วต่อรถไฟ ไป Hallstatt เวิร์คสุด
เพราะว่าไม่มีรถไฟตรงมา Hallstatt ครับ แต่มีทางเลือกรถไฟต่อรถไฟด้วย เพียงแต่ว่าสูตรรถไฟต่อรถไฟนั้น รถไฟขบวนแรกจะอ้อมขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ Attnang Puchheim ทำให้แม้จะเป็นการนั่งรถไฟ ก็ไม่เป็นการทุ่นเวลาเท่าใด การนั่งรถบัสจึงสะดวกในแง่ของ "ชมวิวระหว่างทาง" ครับ
** (2) ช่วงนั่งรถบัส นั่งฝั่งซ้ายเพื่อชมวิวด้านซ้ายของตัวรถ
หากนั่งฝั่งนี้ จะได้ชมวิวทะเลสาปถึง 2 ทะเลสาบเลยครับ ได้แก่ Fuschlsee กับ Wolfgangsee ครับ
** (3) ช่วงต่อรถไฟ นั่งฝั่งขวาเพื่อชมวิวด้านขวาของรถไฟครับ
หากนั่งฝั่งนี้ จะได้ชมวิวทะเลสาปของ Hallstatt เองเลยครับ ... ก็ได้ชมวิวจากบนขบวนรถไฟก่อนจะถึงเมือง Hallstatt
ภาพด้านล่างนี้คือวิวบางช่วงของตอนนั่งบัสจากการนั่งฝั่งซ้ายครับ
และนี่คือวิวบางช่วงตอนนั่งรถไฟก่อนถึง Hallstatt จากการนั่งฝั่งขวา
พอลงรถไฟ คุณจะเจอสถานีร้างๆ ไม่มีอะไรให้ชมเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องเผื่อเวลาตรงนี้นะครับ เตรียมใจว่ามาถึงปุ๊บก็นั่งเรือข้ามฟากไปเมือง Hallstatt เลยดีกว่า
ภาพนี้คือวิวขณะนั่งบนเรือครับ ใกล้ถึง Hallstatt แล้ววววว!!
ใกล้เข้ามาอีกนิดครับ วิวสวยมากๆ
ตอนผมไป ไปช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เปลี่ยนสีครับ เป็นสีเหลืองๆส้มๆ สวยไม่เบาเลยทีเดียวครับ
บางคนไปหน้าร้อน ก็จะดีอีกแบบ เขียวขจี ไปหน้าหนาวก็ได้วิวหิมะ ที่นี่หิมะตกง่ายครับ
และแล้ว เรือก็มาเทียบท่า จุดที่เรือเทียบท่าก็จะใกล้ๆกับ Square กลางเมืองของ Hallstatt เลยครับ
ถ่ายให้ดูใบไม้เปลี่ยนสี ... และจุดชมวิวแหลมๆสามเหลี่ยมที่เห็นอยู่ด้านบน จุดชมวิวนี้สามารถเดินขึ้นไปได้นะครับ มีทางเดิน แต่ส่วนใหญ่นั่งรถรางขึ้นไปสะดวกรวดเร็วกว่า
ภาพนี้คือบริเวณ Square ใจกลางของเมือง ตามแผนที่ใน Google map คือ "Marktplatz Hallstatt" เสียดายวันที่ไปมีการปรับพื้นที่ บริเวณพื้นเลยไม่สวยนัก
เดินมาบริเวณริมน้ำครับ จะมีหงส์อยู่ประปราย ไม่มากแต่ก็พบได้ทั่วไป และมันก็ปรี่เข้ามาใกล้นักท่องเที่ยวด้วย คาดว่าคงจะมีีคนให้อาหาร
จุดถ่ายรูปติดริมทะเลสาปภาพนี้คือบริเวณด้านหลังโบสถ์ "Evangelische Pfarrkirche Hallstatt" ครับ คือใกล้ๆกับจุดที่ลงเรือมาเลยครับ เดินเลาะไปด้านหลังโบสถ์นิดเดียว บางคนไม่รู้เดินเลยไปตามถนนเลย ตรงนี้เก็บวิวได้สวยมากๆอีกจุดหนึ่ง
วิวด้านหลังโบสถ์อีกมุมครับ
ยังคงกลับมาถ่ายรูปเล่น ดูใบไม้เปลี่ยนสีด้านหลังเมืองสวยๆอย่าง Hallstatt
ช่วงที่ไปคือ 15 ตุลาคม ใบไม้เปลี่ยนสี ครับ ดังนั้น ใครอยากไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็เล็งๆแพลนไปช่วงนี้ได้ บวกลบสัก 1 สัปดาห์ หรือภายในเดือนตุลาคมน่าจะกำลังดีครับ ไปก่อนก็พอไหว เพราะใบไม้จะเริ่มเหลืองๆ หรือต่อให้เขียวขจีก็สวยไปอีกแบบ ... แต่ถ้าไปหลังจากนั้นมากๆ ใบไม้จะแห้งน้ำตาลๆไม่สวยครับ เพียงแต่อาจจะได้ลุ้นหิมะตกแทน
จาก Marktplatz ก็เลาะไปตามทางครับ
เจอซอกตรงไหนเดิน น่าจะถ่ายรูปสวย ก็เดินเข้าไป ภาพด้านล่างนี้ถ่ายบริเวณตำแหน่ง 47.561078, 13.648449 ครับ ตามรอยใน Google map ได้เลยครับ
เดินเลาะถนนไปทางใต้ต่อไป (เพื่อไปขึ้นรถรางขึ้นเขาจุดชมวิวด้านบนของเมือง) ก็จะผ่านร้านอาหารร้านนี้ เท่าที่เห็นผมว่าร้านนี้วิวสวยที่สุดแล้ว ราคาแพงกว่าร้านอื่นนิดหน่อย ไม่ได้แพงกว่ามาก รวมค่าวิว ผมว่าโอเค (แต่ผมไม่ได้กินร้านนี้ แต่มันมีราคาแปะให้ดูครับ)
เดินลงใต้ต่อไปก็จะเจอถนนเลียบทะเลสาบ ตรงนี้ถ่ายรูปได้ตลอดทางเลยครับ บ้านเรือนสวย ทะเลสาบและภูเขาก็วิวสวยมากๆ
ที่นี่นักท่องเที่ยวชาวไทยเยอะมากๆครับ ทั้งมาเที่ยวกันเองและกรุ๊ปทัวร์ (ส่วนใหญ่จะเป็นทริปซัลเบิร์ก ฮัลสตัท เวียนนา ... บ้างก็เลาะมาจากเยอรมัน ปราสาทนอย สวิสเซอแลนด์ครับ)
ร้านอาหารร้านนี้ก็วิวดีครับ มีหลายร้านหลายมุมให้เลือกครับ ราคาแต่ละร้านไม่ถูกแต่ไม่ได้แพงมากมายอะไร วางแผนมาทางอาหารใน Hallstatt ได้ครับ เพียงแต่เมนูอาจจะไม่น่ากินมากนัก มักเป็นพวกใส้กรอกกับเฟรนช์ฟรายเป็นส่วนใหญ่
จากนั้นก็เป็นอีกจุดที่เหมาะแก่การมาถ่ายรูปครับ บริเวณ ATO Hallstatt Lahn (Schiffstation) ตำแหน่งบนแผนที่คือ 47.557062, 13.647532 ครับ
ซูมกล้องเข้าไป จะได้ภาพวิวแบบนี้ครับ
จากนั้นก็เดินเลาะไปเรื่อยๆตามทางเพื่อไปขึ้นรถรางขึ้นเขาต่อ ก็จะผ่านลำธารน้ำสวยๆ ภาพนี้ถ่ายที่ตำแหน่ง 47.555783, 13.647431 ครับ (จริงๆคือเดินอ้อมไปนิดหน่อยครับ จึงจะผ่านวิวนี้ 555+)
จากนั้นเราก็มาขึ้นรถรางขึ้นเขากันที่สถานี Salzbergbahn Hallstatt ครับผม ใช้เวลาไม่นานบนรถราง แทบไม่ได้ถ่ายรูปเลยครับ แต่ไม่ต้องห่วง ด้านบนจุดที่เพิ่งลงจากรถรางมีตำแหน่งให้มองย้อนมาถ่ายรูปได้ครับ
จุดที่ว่าก็คือบริเวณนี้ครับ ขึ้นมาก็ถ่ายรูปตรงนี้ก็ได้ วิวสวยมากๆ เห็นเมืองฝั่งทางใต้ของ Hallstatt
วิวด้านบนสวยงามมากๆ แพคเกจรถรางนี้ มีทั้งแบบ (1) นั่งรถรางขาขึ้นเฉยๆ (แล้วค่อยเดินลง) (2) นั่งรถรางไป-กลับ และ (3) นั่งรถรางไปกลับพร้อมชมเหมืองเกลือครับ ผมไม่ได้เข้าเหมืองเกลือ จ่ายแค่แพคเกจไปกลับ เพราะแฟนบอกว่ากลัว ไม่กล้าเข้า 555+ อีกอย่างก็คือไม่ได้อยากเข้ามากขนาดนั้นน่ะครับ เพราะเป็นถ้ำเจาะเข้าไป มีเกลือมาโชว์บ้าง เลยไม่ได้เอาภาพเหมืองเกลือมาฝากกัน ... แต่จริงๆก็จัดว่าน่าสนใจนะครับ เพราะว่าเป็นเหมืองเกลือเก่าแก่หลักร้อยปีครับ
แต่ผมก็ เดินไปนี่ดีกว่า จุดชมวิว มีร้านอาหารด้วย Restaurant Rudolfsturm ... อ้อ จะมาทานอาหารเที่ยงบนนี้ก็ได้นะครับ นี่ก็วิวหลักล้าน ราคาหลักหลายร้อยครับ พอสู้ราคาไหว ไหนๆก็จ่ายเงินมาถึงนี่แล้ว
วิวและบรรยากาศครับ แต่ผมไม่เลือกทานที่นี่เพราะ ... ร้อน
มีบางมุม มองลงไปเห็นเมืองหลักของ Hallstatt เต็มๆ สวยไปอีกแบบ
และจุดชมวิวที่ห้ามพลาดครับ!! ไฮไลท์หนึ่งของที่นี่ มาฮัลสตัทแล้วไม่แวะขึ้นมาชมวิวบนนี้ก็จัดว่าพลาดเหมือนกัน
คนอาจจะดูเยอะ แต่ไม่มีใครแย่งคิวถ่ายรูปบริเวณสามเหลี่ยมหัวมุมนะครับ ส่วนใหญ่ก็ถ่ายรูปพอประมาณ คนละ 4-5 รูป แล้วก็ให้คนถัดไปถ่ายครับ ทำให้รอคิวไม่นาน และไม่ต้องแก่งแย่งกัน อย่างไรก็ตามแนะนำว่าอย่าถ่ายรูปกันหนักหน่วงเหมือนครองทำเลกันนะครับ ก็พอหอมปากหอมคอพอครับ เพราะเท่าที่เห็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีมารยาท หากคนไทยไปถ่ายรูปไม่ยอมจบตอนตัวเองได้คิว คงสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับประเทศเปล่าๆ (ถ้าเค้ารู้ว่าคนไทยอ่ะนะ เหอๆๆ)
จากนั้นก็ลงรถรางลงมา ... ถ่ายภาพนี้ตอนขาลงครับ
และ ที่ห้ามพลาดคือ จุดชมวิวหลักของเมือง ... ผมไปเที่ยวด้านบนจุดชมวิวด้านบนเขาก่อนเดินมาจุดนี้ เพราะตอนเช้าตรงนี้เหมือนถ่ายย้อนแสงน่ะครับ
แต่ก็เข้าช่วงกึ่งๆใกล้ฤดูหนาวแล้ว ดวงอาทิตย์ก็อยู่ซีกเดียวของท้องฟ้า ก็เลยยังย้อนแสงนิดๆอยู่ดี แต่ยังดีกว่าช่วงเช้าที่ตอนนั้นจะย้อนแสงเต็มๆ ... บริเวณจุดชมวิวนี้ คาดว่าไม่มีใครพลาด แต่ถ้าเผื่อหาไม่เจอ ก็บอกไว้ก่อนว่าทำเลคือบริเวณ 47.564576, 13.649889 ครับ (แต่จริงๆไม่ต้องกลัวหาไม่เจอครับ จากบริเวณจุดลงเรือ ก็เดินไปทางเหนือตามถนนก็เจอครับ ถนนมีเส้นเดียวด้วย)
และอีกไฮไลท์ หัวกระโหลกเพนท์ชื่อและลวดลาย เป็นพิธีกรรมสมัยเก่า ปัจจุบันไม่ได้ทำกันแล้ว แต่ก็ยังมีการเก็บรักษากระโหลกศีรษะเก็บไว้ เข้าชมได้ เสียเงินกุ๊บกิ๊บครับ ไม่มาก คุ้นๆว่า 1-2 ยูโร เข้ามาชมก็ดีครับ จากจุดชมวิวหลัก เดินขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ๆ ไปยังโบสถ์ Maria am Berg ด้านบนก็จะเจอ Beinhaus, Karner, Ossuary เป็นคล้ายๆกระท่อมหลังเล็กๆครับ เข้าไปชมด้านในได้เลย (มีบทความภาษาไทยบรรยายความเป็นมาด้วยครับ)
บริเวณนี้ก็จะมีสุสานด้วย ป้ายสุสานที่นี่ทำเป็นเหมือนมีหลังคาด้วย น่ารักไม่เหมือนที่อื่นๆครับ
เดินเข้าไปชมด้านในโบสถ์ซะหน่อย ไม่ใช่โบสถ์ใหญ่อลังการ แต่ก็สวยดีครับ
จากโบสถ์ Maria am Berg ถ้าไม่รีบเดินลง แล้วเดินเลาะตามทางบนเนินเขาไปทางใต้ ก็จะมีบริเวณชมวิวสูงของเมืองแบบนี้ด้วย (เดินต่อๆไป สามารถขึ้นเขาไปจุดชมวิว Skywalk ได้ แต่คงเหนื่อยมากๆครับ ไม่แนะนำ นั่งรถรางขึ้นไปน่ะดีแล้ว เว้นแต่ว่ามานอนค้าง Hallstatt อยากจะเดินก็แล้วแต่ครับ)
ก็เป็นอีกจุดชมวิวที่สวยดี ผมไม่ค่อยเห็นภาพจากบริเวณนี้จากรีวิวฮัลสตัทอื่นๆเท่าไหร่ แต่ผมว่าสวยน่าเดินขึ้นมาดีนะครับ ไม่ไกลมาก
ขึ้นมาอีกหน่อยจะเจอลานจอดรถ (มีถนนตัดผ่านเจาะภูเขา แล้วเค้ามาจอดรถกันบริเวณนี้ มีน้ำตกด้วย)
วิวจากลานจอดรถครับ (ทำเลคือ 47.562329, 13.648073 ครับ เผื่อสนใจ มีจุดเดินขึ้นมาได้สองจุดคือด้านหลัง Welterbemuseum Hallstatt หรือเดินต่อมาจากโบสถ์ Maria am Berg ครับ)
ผมได้เดินลุยป่าขึ้นมาอีกหน่อย ไม่ต้องเดินตามมาก็ได้นะครับ จุดนี้ เพราะมันเหนื่อย 555+ แต่ผมอยากรู้ว่าน้ำตกด้านบนจะสวยไหม เลยลองเดินมาดู
ก็จะเห็นวิวน้ำตกประมาณนี้ เดินต่อไปได้อีกนะครับ (ทางนี้สามารถไปจุดชมวิวด้านบนเขาแทนการขึ้นรถรางได้) แต่ผมหยุดเดินละ คาดว่าวิวไม่คุ้มค่าเหนื่อยมาก)
ก็เลยเดินลงมาถ่ายรูปในเมืองต่อดีกว่า ^ ^
มีคนมาถ่ายรายการบริเวณ Marktplatz ด้วย ใส่หมวกนิรภัย คาดว่าพูดคุยเรื่องการปรับพื้นที่บริเวณนี้
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ลับหลังเขาไปแล้วครับ ก็เลยไม่เห็นท้องฟ้าสีฟ้าๆ บรรยากาศช่วงเย็นก็จะครึ้มๆหน่อย ใครมาเที่ยวก็วางแผนถ่ายรูปกันดีๆนะครับ จริงๆยังไม่เย็นมาก แต่ภูเขาสูงล้อมอยู่รอบเมือง แค่ช่วงบ่ายๆหน่อยประมาณบ่าย 2-3 ก็อาจจะเกิดกรณีภูเขาบังดวงอาทิตย์ได้ บรรยากาศก็จะสดใสน้อยลง รีบถ่ายรูปตอนแดดยังดีอยู่จะดีกว่าครับ
มาถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิวอีกรอบ บรรยากาศแบบแสงไม่มาก
ภาพบริเวณท่าเรือครับ ผมจะนั่งเรือข้ามฟากไปรอรถไฟเพื่อกลับ Salzburg กันละ
วิวขณะนั่งเรือกลับครับ ... แนะนำว่าถ้าขามา นั่งเรือฝั่งขวา ขากลับก็นั่งฝั่งขวาเหมือนเดิมครับ เพราะจะได้เห็นวิวทั้งสองฟากจากขาไปและกลับ
ปล. รีิวิวร้านอาหารที่ผมได้แวะไปทานมาหน่อย ไม่แนะนำนะครับ อาหารผมว่าธรรมดาไม่อร่อย แต่ก็กินได้ เพียงแต่วิวใช้ได้ครับ และถ้ารู้สึกหนาวๆไม่อยากนั่งทาน outdoor แต่อยากได้วิว ร้านนี้ก็พอเห็นวิวทะเลสาบบ้าง ร้านนี้คือร้าน Seecafé Frundsberg อยู่ทำเล 47.556482, 13.647978 ครับ (แต่ถ้าไม่คิดจะนั่งด้านในร้าน ไม่แนะนำครับ)
บรรยากาศจากด้านในร้านครับ ได้ชมวิวบ้างเหมือนกันแบบนี้ครับ ถ้าอากาศตอนที่ไปค่อนข้างหนาว ก็จัดว่าเป็นร้านที่น่าสนใจ (แต่ถ้าอาหารเย็นสบาย อยากนั่ง outdoor ไปร้านอื่นดีกว่า)
อาหารก็อย่างที่เห็นครับ ตอนไปมีเมนูให้เลือกน้อย ไม่ประทับใจมาก เลยเอาไส้กรอกกินกับขนมปังมา ไส้กรอกธรรมดา ขนมปังไม่อร่อย แต่ที่ดีคือมัสตาร์ดสดๆขูดฝอยครับ กลายเป็นของเคียงอร่อยดี
ก็จบรีวิว Hallstatt แต่เพียงเท่านี้ครับ ยังไงจะพาไปชมเมือง Salzburg กันต่อครับ
ผมค้างที่ซัลเบิร์กแล้วมาเที่ยวที่ Hallstatt น่ะครับ ก็เลยได้ใช้เวลาใน Salzburg เยอะกว่า Hallstatt มากๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)