เล่งหงษ์ เป็นหนึ่งในร้านอาหารจีนชื่อดังในจังหวัดนครสวรรค์ที่ได้มีโอกาสไปแวะชิมมาน่ะครับ
ครั้งนี้ไปแวะเยือนเนื่องจากไปไหว้พระแถวนครสวรรค์กับท่านแม่และท่านพ่อ พร้อมด้วยหลานตัวน้อยๆอีกหนึ่ง แล้วพอไหว้พระที่วัดเขากบเสร็จ ก็อยากหาอาหารทานกัน ที่เป็นร้านติดแอร์ ร้านอะไรก็ได้ ประมาณว่าขอเติมเต็มท้องกันหน่อย
แล้วก็ขับรถมาเจอ เล่งหงษ์ นี่เองครับ ^ ^
จริงๆร้านนี้ก็เคยมาลองทานกับคุณแฟนแล้วล่ะ อร่อยดี คิดว่าท่านพ่อท่านแม่น่าจะชอบ ก็เลยจัดประเดิมให้กินกันที่เล่งหงษ์นี่ล่ะ!!
ภายในร้าน การจัดโต๊ะทำแบบโต๊ะจีนเลยครับ มีจานมีถ้วน ช้อนส้อมตะเกียบ เพียบพร้อม ... ก็ร้านอาหารจีนนี่นา ^ ^
เมนูที่สั่งในครั้งนี้ มีเมนูที่ซ้ำตอนทานกับคุณแฟนด้วย เพราะจำได้ว่ามันอร่อยดี และท่านพ่อท่านแม่ก็น่าจะชอบ นั่นก็คือเจ้านี่เลยครับ "ออส่วนกะทะร้อน"
ผลปรากฎว่าท่านพ่อท่านแม่ชอบเมนูนี้มาก ก็เลยสั่งเมนูนี้อีก 2 ชุด กลับบ้าน!! เอาไปฝากพี่สาวและพี่เขยด้วยเลย (คุณพ่อคุณแม่ของหลานน้อยที่พาไปด้วยนั่นเอง) ... แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่า เพราะเอากลับบ้านมันไม่มีกะทะร้อนติดมาให้ด้วยอ่ะนะ เหอๆๆ
อีกเมนูนึงที่สั่ง ปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว เมนูนี้ท่านแม่ชื่นชมอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าร้านอาหารจีนจะทำเมนูประมาณนี้ออกมาอร่อย แต่กลับทำได้ดีมากๆ
รูปที่ถ่ายออกมานั้น อาจจะเห็นเครื่องเทศเยอะไปหน่อย -*-
แต่ถ้าเขี่ยเจ้าพวกเครื่องเทศออก จะเจอปลาหมึกตัวใหญ่ยักษ์ นอนพาดยาวจนสุดจานร้อนจานนี้กันเลยเชียว!! (ไม่นับหนวดยาวๆด้วยนะ) เป็นจานที่จุใจมากๆอีกจานหนึ่ง
อีกเมนูถัดมา เป็นเมนูที่ทางร้านแนะนำ ... ตอนแรกไม่อยากสั่ง เพราะเดาว่ามันต้องแพงแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเอาตัวใหญ่มาเสิร์ฟ
แต่ท่านแม่ว่าลองกินเหอะ ก็เอ้า สนองนี้ดส์ซะหน่อย กับปูทะเลผัดผงกะหรี่
เหมือนเดิมครับ ถ่ายรูปมาเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆปูตัวใหญ่มาก!! เห็นขนาดไซส์ปูแล้วรู้เลยว่าต้องราคาไม่ถูกแน่ๆ เหอๆ
แต่ขอบอกว่าอร่อยได้ใจมากๆ ปูก้ามโต เนื้อนุ่มหนึบอร่อย ให้ความรู้สึกสดไม่แพ้ไปนั่งกินริมทะเล แต่ฝีมือและรสชาติเผลอๆที่นี่อาจจะดีกว่าร้านอาหารทะเลหลายๆร้านก็ได้!!
สำหรับเมนูปูผัดผงกะหรี่ ก็จะมีหมั่นโถวเคียงมาให้แบบนี้ด้วย
สำหรับการทานอาหารในครั้งนี้ มี 3 เมนู ทานกัน 3 คน (หลานไม่ได้ทาน) เชื่อไหมครับ ว่าเหลือ!! (ออส่วนหมด ส่วนอีก 2 เมนูเหลือ)
แต่ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ มันมีสองสาเหตุคืออาหารเยอะ พร้อมๆกับที่บ้านทานน้อย ก็เลยเหลือนั่นเอง (ถ้าเป็นชาวบ้านชาวช่องทั่วไป น่าจะประมาณว่าอิ่มแปร้)
ก็เลยให้ห่อกลับบ้านด้วย ... เมื่อเย็นเอาเข้าเวฟแล้วกินอีกที ก็ยังอร่อยอยู่เลย ^ ^
ก็ขอแนะนำครับ สำหรับท่านๆที่กำลังมองหาร้านอาหารที่จังหวัดนครสวรรค์อยู่ ก็ลองทาน เล่งหงษ์ แห่งนี้กันได้ครับ
เมนูอาหารจีนก็มีเยอะนะครับ แต่ผมไม่ค่อยได้สั่ง ... แต่ขนาดไม่ใช่เมนูอาหารจีน ก็ยังอร่อยเลยอ่ะ!!
กล้อง TLR Camera คืออะไร?
วันนี้ขอแนะนำกล้องแนวใหม่ ... เอ๊ยย!! แนวเก่า ที่ย้อนหลังไปสัก ... โห ... 80 ปีได้เลยนะครับ!!
สำหรับกล้องที่เรียกว่า กล้อง TLR Camera!!
กล้อง TLR Camera นั้น ย่อมาจาก Twin-lens Reflex Camera ครับ
พื้นฐานแนวคิดการสร้างกล้องนี้นั้น จริงๆก็มีมานานประมาณ 140 ปีมาแล้วครับ (นานมากกก) แล้วกล้อง TLR ก็เริ่มเป็นที่นิยมจริงๆ ก็ช่วงยุค 30s (80 กว่าปีก่อน -*-) ยี่ห้อที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็คือ Rolleiflex
หน้าตาของกล้อง ประมาณนี้ครับ จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง มีเลนส์อยู่สองเลนส์แบบนี้
เมื่อเห็นจากหน้าตาของกล้อง ก็คงจะทราบถึงที่มาของชื่อกล้องว่า Twin-lens Reflex กันได้เป็นอย่างดี ^ ^
ง่ายๆเลยก็เพราะมันมีเลนส์อยู่สองอันนั่นเอง ก็เลยได้ชื่อว่า "เลนส์คู่" หรือ Twin-lens
ส่วนกลไกการทำงานของมันนั้น เลนส์แต่ละตัวทำหน้าที่แตกต่างกันครับ ไม่ได้ใช้ถ่ายรูปเหมือนกันทั้งสองเลนส์หรอกนะครับ
เลนส์อันล่างนั้น ทำหน้าที่เป็นเลนส์ถ่ายภาพ ส่วนอันบนทำหน้าที่เป็นเลนส์สำหรับสะท้อนภาพให้กับ Viewfinder หรือช่องมองภาพนั่นเองครับ ... ไม่ได้มีหน้าที่ถ่ายภาพทั้งสองอัน ตัวที่ถ่ายภาพจริงๆก็คือเลนส์ล่างเท่านั้น
โดยเค้าจะออกแบบการทำมุม อะไรต่างๆ ให้ภาพที่เห็นจากเลนส์อันบนนั้น แทนค่าของเลนส์อันล่างได้เลย โดยตัวแพงๆดีๆหน่อย เวลาเราปรับโฟกัสเลนส์สำหรับถ่ายภาพ การโฟกัสของเลนส์อันบนก็จะโฟกัสตามไปด้วย
จุดเด่นของกล้องแบบนี้ ก็คือ "มันเป็นกล้อง Medium format" ครับผม ขนาดของฟิล์มที่ใช้คือ 120 ซึ่งเจ้าฟิล์ม 120 นั้นใหญ่กว่าฟิล์ม 35mm ซะอีก (ใหญ่กว่าเยอะด้วย) ดังนั้นมิติของภาพจากกล้องอายุเกือบร้อยปีประเภทนี้ เผลอๆเจ๋งกว่ากล้อง Fullframe ในปัจจุบันนี้อีกนะครับ!!
ปัจจุบันนี้ แม้ว่ากล้องแนวนี้จะจัดว่าเก่าเกือบ 80 ปี!! ก็ตามที
แต่เชื่อไหมครับ ว่าการซื้อขายกล้องประเภทนี้ โดยเฉพาะจากยี่ห้อ Rolleiflex ด้วยแล้วนั้น ราคาเกือบหมื่นกันทั้งนั้น
ถ้าสภาพดีๆ หรือมากับเลนส์ดีๆ เช่น เลนส์ที่มีค่า f2.8 ราคาปาเข้าไป 3-5 หมื่นกันเลยนะครับ!! ขายออกง่ายด้วย ไม่ใช่ขายยาก ยังจัดว่าฮิตพอดูเลยทีเดียว
ถ้าอยากรู้ว่าภาพจากกล้องแนวนี้ มีดีอย่างไร ลองดูได้ที่เวบ http://www.flickr.com/groups/tlr/pool/ ครับ
ส่วนตัวมองว่ามิติของภาพเหลือร้ายเชียวครับ แม้จะเป็นฟิล์มที่เกรนหลุดมาเพียบก็เถอะ ยิ่งภาพจากรุ่นแพงๆ f แจ่มๆ ยิ่งสวยน่าหลงใหลมาก
อ้อ ปล. ภาพเป็นภาพสี่เหลี่ยมจตุรัส 6x6 นะครับ
ส่วนตัวผมเองนั้นหรือ ไม่มีกล้องแนวนี้ใช้หรอกครับ อยากหามาลองสักตัว แต่แถวบ้านไม่มีร้านล้างฟิล์ม
แถมต่อให้มีร้านรับล้างฟิล์ม ก็ไม่รู้จะมี reel สำหรับขนาดฟิล์ม 120 ป่าวก็ไม่รู้ (แต่จริงๆถ้ามีร้านล้างแล้ว เราลงทุนซื้อ tank กับ reel สำหรับล้างฟิล์ม 120 ให้ร้านไปเลยก็ได้นะครับ ถ้าอยากใช้กล้องแนวนี้มากๆ เหอๆๆ)
ส่วนตัวผมนั้นหรือ? กล้องดิจิตอล mirrorless ในมืออย่าง Olympus E-P1 รุ่นโบราณสุดสำหรับ mirrorless ก็อุตส่าห์มี format ภาพขนาด 6x6 ให้ใช้ทั้งที ว่าแล้วผมก็เลยหยิบมือหมุนมาต่อ แล้วเลือก art filter แบบ pin hole มาใช้เพื่อเพิ่มความขลังค์ ใช้แทนชั่วคราวไปก่อน ^ ^ ... ได้รูปประมาณนี้ครับ จะเทียบกล้อง TLR Camera แท้ๆได้ไหมหนอ?
รู้อยู่เหมือนกัน ว่าเทียบกับของแท้ๆไม่ได้ แต่เอาไว้ดับกิเลสก็ยังดี
ก็เป็นกล้องอีกแนวครับ สำหรับคนที่หลงใหลกล้องฟิล์ม ลองดู TLR Camera ดูได้ครับ คุณอาจจะรักมันก็ได้ ^ ^
สำหรับกล้องที่เรียกว่า กล้อง TLR Camera!!
กล้อง TLR Camera นั้น ย่อมาจาก Twin-lens Reflex Camera ครับ
พื้นฐานแนวคิดการสร้างกล้องนี้นั้น จริงๆก็มีมานานประมาณ 140 ปีมาแล้วครับ (นานมากกก) แล้วกล้อง TLR ก็เริ่มเป็นที่นิยมจริงๆ ก็ช่วงยุค 30s (80 กว่าปีก่อน -*-) ยี่ห้อที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็คือ Rolleiflex
หน้าตาของกล้อง ประมาณนี้ครับ จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง มีเลนส์อยู่สองเลนส์แบบนี้
Author: Juhanson
เมื่อเห็นจากหน้าตาของกล้อง ก็คงจะทราบถึงที่มาของชื่อกล้องว่า Twin-lens Reflex กันได้เป็นอย่างดี ^ ^
ง่ายๆเลยก็เพราะมันมีเลนส์อยู่สองอันนั่นเอง ก็เลยได้ชื่อว่า "เลนส์คู่" หรือ Twin-lens
ส่วนกลไกการทำงานของมันนั้น เลนส์แต่ละตัวทำหน้าที่แตกต่างกันครับ ไม่ได้ใช้ถ่ายรูปเหมือนกันทั้งสองเลนส์หรอกนะครับ
เลนส์อันล่างนั้น ทำหน้าที่เป็นเลนส์ถ่ายภาพ ส่วนอันบนทำหน้าที่เป็นเลนส์สำหรับสะท้อนภาพให้กับ Viewfinder หรือช่องมองภาพนั่นเองครับ ... ไม่ได้มีหน้าที่ถ่ายภาพทั้งสองอัน ตัวที่ถ่ายภาพจริงๆก็คือเลนส์ล่างเท่านั้น
โดยเค้าจะออกแบบการทำมุม อะไรต่างๆ ให้ภาพที่เห็นจากเลนส์อันบนนั้น แทนค่าของเลนส์อันล่างได้เลย โดยตัวแพงๆดีๆหน่อย เวลาเราปรับโฟกัสเลนส์สำหรับถ่ายภาพ การโฟกัสของเลนส์อันบนก็จะโฟกัสตามไปด้วย
จุดเด่นของกล้องแบบนี้ ก็คือ "มันเป็นกล้อง Medium format" ครับผม ขนาดของฟิล์มที่ใช้คือ 120 ซึ่งเจ้าฟิล์ม 120 นั้นใหญ่กว่าฟิล์ม 35mm ซะอีก (ใหญ่กว่าเยอะด้วย) ดังนั้นมิติของภาพจากกล้องอายุเกือบร้อยปีประเภทนี้ เผลอๆเจ๋งกว่ากล้อง Fullframe ในปัจจุบันนี้อีกนะครับ!!
ปัจจุบันนี้ แม้ว่ากล้องแนวนี้จะจัดว่าเก่าเกือบ 80 ปี!! ก็ตามที
แต่เชื่อไหมครับ ว่าการซื้อขายกล้องประเภทนี้ โดยเฉพาะจากยี่ห้อ Rolleiflex ด้วยแล้วนั้น ราคาเกือบหมื่นกันทั้งนั้น
ถ้าสภาพดีๆ หรือมากับเลนส์ดีๆ เช่น เลนส์ที่มีค่า f2.8 ราคาปาเข้าไป 3-5 หมื่นกันเลยนะครับ!! ขายออกง่ายด้วย ไม่ใช่ขายยาก ยังจัดว่าฮิตพอดูเลยทีเดียว
ถ้าอยากรู้ว่าภาพจากกล้องแนวนี้ มีดีอย่างไร ลองดูได้ที่เวบ http://www.flickr.com/groups/tlr/pool/ ครับ
ส่วนตัวมองว่ามิติของภาพเหลือร้ายเชียวครับ แม้จะเป็นฟิล์มที่เกรนหลุดมาเพียบก็เถอะ ยิ่งภาพจากรุ่นแพงๆ f แจ่มๆ ยิ่งสวยน่าหลงใหลมาก
อ้อ ปล. ภาพเป็นภาพสี่เหลี่ยมจตุรัส 6x6 นะครับ
ส่วนตัวผมเองนั้นหรือ ไม่มีกล้องแนวนี้ใช้หรอกครับ อยากหามาลองสักตัว แต่แถวบ้านไม่มีร้านล้างฟิล์ม
แถมต่อให้มีร้านรับล้างฟิล์ม ก็ไม่รู้จะมี reel สำหรับขนาดฟิล์ม 120 ป่าวก็ไม่รู้ (แต่จริงๆถ้ามีร้านล้างแล้ว เราลงทุนซื้อ tank กับ reel สำหรับล้างฟิล์ม 120 ให้ร้านไปเลยก็ได้นะครับ ถ้าอยากใช้กล้องแนวนี้มากๆ เหอๆๆ)
ส่วนตัวผมนั้นหรือ? กล้องดิจิตอล mirrorless ในมืออย่าง Olympus E-P1 รุ่นโบราณสุดสำหรับ mirrorless ก็อุตส่าห์มี format ภาพขนาด 6x6 ให้ใช้ทั้งที ว่าแล้วผมก็เลยหยิบมือหมุนมาต่อ แล้วเลือก art filter แบบ pin hole มาใช้เพื่อเพิ่มความขลังค์ ใช้แทนชั่วคราวไปก่อน ^ ^ ... ได้รูปประมาณนี้ครับ จะเทียบกล้อง TLR Camera แท้ๆได้ไหมหนอ?
รู้อยู่เหมือนกัน ว่าเทียบกับของแท้ๆไม่ได้ แต่เอาไว้ดับกิเลสก็ยังดี
ก็เป็นกล้องอีกแนวครับ สำหรับคนที่หลงใหลกล้องฟิล์ม ลองดู TLR Camera ดูได้ครับ คุณอาจจะรักมันก็ได้ ^ ^
รีวิว ตลาดโรงเกลือ ... หาอะไรไม่เจอเลย -*-
ตลาดโรงเกลือ ... ตลาดที่หลายๆคนบอกว่าของขายถูกๆเพียบ!! ไม่ว่าจะของก๊อปหรือของแท้มือสอง!!
ทุกอย่างราคาถูกเป็นที่ร่ำลือ!! มีพ่อค้าแม่ขายมากมายที่มารับของที่นี่ไปขายก็เยอะ
... ก่อนไป ก็เลยค่อนข้างจะตั้งเป้าที่นี่ไว้สูงพอควร ^ ^"
ตลาดโรงเกลืออยู่ที่อำเภออรัญญประเทศ จังหวัดสระแก้วครับ ซึ่งเป็นด่านพรมแดม ไทย-กัมพูชา ที่ติดกับปอยเปต
ตลาดโรงเกลือนั้นของขายเยอะมากๆ ตอนที่ผมไปนั้น ได้แวะตลาดโรงเกลืออันเนื่องมาจากผลพลอยได้จากการเที่ยวเสียมเรียบน่ะล่ะครับ แต่เป็นการแวะหลังจากที่เที่ยวเสียมเรียบเสร็จแล้วนะครับ ... ซึ่งในใจก็คิดไว้ว่า จะต้องเหลืองบช้อปปิ้งเอาไว้หน่อย เพื่อเอามาช้อปที่ตลาดโรงเกลือ ... และย่านที่ผมเดินผ่านไปเป็นที่แรกคือ "เสื้อผ้า"
ความรู้สึกแรกที่ได้เดินจากย่านเสื้อผ้าก็คือ ... "ตลาดนัด" ... "นี่มันตลาดนัดชัดๆ!!"
เสื้อผ้าไม่ต่างจากตลาดนัดตามอำเภอห่างไกลในชนบทเลย!! เพียงแต่มันมีเยอะ เยอะมากๆก็เท่านั้นเอง แต่ดีไซน์เอย เนื้อผ้าเอย ไม่ได้ต่างจากตลาดนัดเท่าไหร่เลย!!
ก็เข้าใจว่าตลาดนัดเอาที่นี่ไปขายกันเยอะอ่ะนะ ... แต่เชื่อไหม ว่าเผลอๆตลาดนัดบางแห่งของขายพวกเสื้อผ้าเสื้อผ่อน ดีกว่าที่ตลาดโรงเกลือนี่ด้วยซ้ำ สาเหตุก็เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่รับเสื้อไปขายนั้น เค้าเลือกอย่างที่โอเคดูดี คนชอบซื้อ ไปวางขายอยู่แล้ว พูดง่ายๆคือ "กรองก่อนเอาไปขาย" แล้ว ... แต่การซื้อของที่ตลาดโรงเกลือนี้นั้น เสื้อผ้าที่ดูแทบไม่ได้มีวางขายเยอะแยะไปหมด ปะปนกับเสื้อผ้าที่โอเคดูดี จนอยู่ในระดับ "เลือกยาก" มากๆ ...
สรุป ถ้าคุณคิดจะไปหาเสื้อผ้าสวยๆใส่จากที่ตลาดโรงเกลือ คุณต้องตาเหยี่ยวมากๆ และต้องรู้ร้านรู้แหล่งจริงๆ ถ้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาช้อป หาไปเถอะ ไม่เจอร้อก (ร้านมันเยอะม้ากกก -*-)
ผมก็เลยไม่ค่อยประทับใจด้านเสื้อผ้าเท่าไหร่
...
จากนั้นก็เดินไปย่านกระเป๋า ... ย่านกระเป๋านี้พอใช้ได้ครับ แต่ก็ก๊อปปี้ทั้งนั้นแหละครับ
ผมเองสนใจว่าจะมีแบรนด์เนมแท้ มือสองหรือไม่ ก็เลยเดินๆดูไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอ ก็เลยถามๆคนแถวนั้น ว่ามือสองอยู่แถวไหน
ก็ได้รับคำตอบมาว่า มือสองไม่มีแล้ว กระเป๋ามีแค่อาคารหลังคาฟ้าเท่านี้แหละ (นึกในใจทันทีว่า มันหลอกหรือเปล่าฟะ)
ก็เอาก็เอาฟะ เดินดูกระเป๋าเด็ดๆแถวนี้ก็ได้
ก็เดิน เดิน เดิน เดินไปเรื่อยๆ ...
... เดินไปแล้วรู้สึกว่า "จะเดินเยอะไปทำไม!! แค่สองซอยแรก ของก็ครบแล้ว!!"
เพราะว่าของมันซ้ำๆกันน่ะสิครับ -*-
ตอนแรกเดินชมไป 5 ร้านแรก ก็รู้สึกว่าโอเคอยู่ ... เดินไปเดินมา อ้าวเฮ้ย ทำไมมันซ้ำๆกันเช่นนี้ล่ะ -*-
...
สรุป ถ้ารับได้กับของก๊อป มันก็โอเคนะครับ ไม่ได้แย่ ดูดีใช้ได้ด้วยซ้ำ
แต่ไม่ต้องเดินเยอะมากครับ แค่ซอยสองซอยพอ ถ้าไม่ถูกใจก็ไปเดินดูสินค้าประเภทอื่นเลยดีกว่า เสียเวลาเปล่า -*-
จากนั้นก็ไปเดินย่านรองเท้า
อันนี้หมายหมั้นปั้นมือมาก กับรองเท้ายี่ห้อแพงๆดีๆ มือสองสภาพงามๆในราคาน่าคบค้าตลอดจนราคาถูก
แต่ทว่า เดินไปทางไหนๆก็ ก๊อป ก๊อป แล้วก็ก๊อป มีแต่ก๊อป!!! โดยเฉพาะพวก Crocs หรือ Lacoste เนี่ย มีเยอะมาก!!
แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายามนะครับ ยังมองหามือสองต่อไป
... จนเจอ!!
... สภาพสินค้ามือสองนั้น เหมือนผ่านศึกสงครามโลกมายังไงยังงั้น จนอดคิดไม่ได้ว่ามือสองเนี่ย เค้าไม่ใช้แล้วโยนทิ้งมา หรือไปได้มาจากวิธีอย่างอื่นกันแน่
และด้วยสภาพที่เยินมากๆนั้น ทำให้แยกแยะไม่ถูก มองเห็นความสวยไม่เจอกันเลยทีเดียว
... จริงๆก็พออนุมานออกแหละ ว่าเอารองเท้าพวกนั้นมาซักล้างดีๆ ขัดเงาหน่อย รับรองสวยพริ้งเหมือนเดิมแน่ๆ!!
แต่ผมดูเนื้อผ้า เนื้อหนัง ดูอะไรต่อมิอะไรไม่เป็นไง ... เลยนึกไม่ออก ว่าจะเอาของเยินๆเหล่านั้นไปชุบตัวยังไงให้ออกมาดูดีได้
สุดท้ายก็เลยไม่มีอะไรกลับติดมือมาเลย -*-
สรุปภาพรวม
ดูออกเลยว่าที่นี่เจ๋งสมคำร่ำลือ แต่นั่นมันสำหรับคนตาเหยี่ยวจริงๆ เป็นแม่ค้าที่ช่ำชองจริงๆ คุณจึงจะสามารถดึงเอาของดีๆที่หลบซ่อนอยู่ที่นี่ออกมาได้ ... แต่ถ้าสำหรับคนไม่รู้เรื่องรู้ราว มะงุมมะงาหลาเข้าไป ... ก็ได้แต่เซ็งเท่านั้นครับ
เพียงแต่ว่า ถ้าคุณไม่ซีเรียสกับของก๊อป ที่นี่อาจจะเป็นสวรรค์อันละลานตาของขาช้อปได้ง่ายๆเลยเชียวล่ะคุณเอ๊ยย!!
ทุกอย่างราคาถูกเป็นที่ร่ำลือ!! มีพ่อค้าแม่ขายมากมายที่มารับของที่นี่ไปขายก็เยอะ
... ก่อนไป ก็เลยค่อนข้างจะตั้งเป้าที่นี่ไว้สูงพอควร ^ ^"
ตลาดโรงเกลืออยู่ที่อำเภออรัญญประเทศ จังหวัดสระแก้วครับ ซึ่งเป็นด่านพรมแดม ไทย-กัมพูชา ที่ติดกับปอยเปต
ตลาดโรงเกลือนั้นของขายเยอะมากๆ ตอนที่ผมไปนั้น ได้แวะตลาดโรงเกลืออันเนื่องมาจากผลพลอยได้จากการเที่ยวเสียมเรียบน่ะล่ะครับ แต่เป็นการแวะหลังจากที่เที่ยวเสียมเรียบเสร็จแล้วนะครับ ... ซึ่งในใจก็คิดไว้ว่า จะต้องเหลืองบช้อปปิ้งเอาไว้หน่อย เพื่อเอามาช้อปที่ตลาดโรงเกลือ ... และย่านที่ผมเดินผ่านไปเป็นที่แรกคือ "เสื้อผ้า"
ความรู้สึกแรกที่ได้เดินจากย่านเสื้อผ้าก็คือ ... "ตลาดนัด" ... "นี่มันตลาดนัดชัดๆ!!"
เสื้อผ้าไม่ต่างจากตลาดนัดตามอำเภอห่างไกลในชนบทเลย!! เพียงแต่มันมีเยอะ เยอะมากๆก็เท่านั้นเอง แต่ดีไซน์เอย เนื้อผ้าเอย ไม่ได้ต่างจากตลาดนัดเท่าไหร่เลย!!
ก็เข้าใจว่าตลาดนัดเอาที่นี่ไปขายกันเยอะอ่ะนะ ... แต่เชื่อไหม ว่าเผลอๆตลาดนัดบางแห่งของขายพวกเสื้อผ้าเสื้อผ่อน ดีกว่าที่ตลาดโรงเกลือนี่ด้วยซ้ำ สาเหตุก็เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่รับเสื้อไปขายนั้น เค้าเลือกอย่างที่โอเคดูดี คนชอบซื้อ ไปวางขายอยู่แล้ว พูดง่ายๆคือ "กรองก่อนเอาไปขาย" แล้ว ... แต่การซื้อของที่ตลาดโรงเกลือนี้นั้น เสื้อผ้าที่ดูแทบไม่ได้มีวางขายเยอะแยะไปหมด ปะปนกับเสื้อผ้าที่โอเคดูดี จนอยู่ในระดับ "เลือกยาก" มากๆ ...
สรุป ถ้าคุณคิดจะไปหาเสื้อผ้าสวยๆใส่จากที่ตลาดโรงเกลือ คุณต้องตาเหยี่ยวมากๆ และต้องรู้ร้านรู้แหล่งจริงๆ ถ้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาช้อป หาไปเถอะ ไม่เจอร้อก (ร้านมันเยอะม้ากกก -*-)
ผมก็เลยไม่ค่อยประทับใจด้านเสื้อผ้าเท่าไหร่
...
จากนั้นก็เดินไปย่านกระเป๋า ... ย่านกระเป๋านี้พอใช้ได้ครับ แต่ก็ก๊อปปี้ทั้งนั้นแหละครับ
ผมเองสนใจว่าจะมีแบรนด์เนมแท้ มือสองหรือไม่ ก็เลยเดินๆดูไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอ ก็เลยถามๆคนแถวนั้น ว่ามือสองอยู่แถวไหน
ก็ได้รับคำตอบมาว่า มือสองไม่มีแล้ว กระเป๋ามีแค่อาคารหลังคาฟ้าเท่านี้แหละ (นึกในใจทันทีว่า มันหลอกหรือเปล่าฟะ)
ก็เอาก็เอาฟะ เดินดูกระเป๋าเด็ดๆแถวนี้ก็ได้
ก็เดิน เดิน เดิน เดินไปเรื่อยๆ ...
... เดินไปแล้วรู้สึกว่า "จะเดินเยอะไปทำไม!! แค่สองซอยแรก ของก็ครบแล้ว!!"
เพราะว่าของมันซ้ำๆกันน่ะสิครับ -*-
ตอนแรกเดินชมไป 5 ร้านแรก ก็รู้สึกว่าโอเคอยู่ ... เดินไปเดินมา อ้าวเฮ้ย ทำไมมันซ้ำๆกันเช่นนี้ล่ะ -*-
...
สรุป ถ้ารับได้กับของก๊อป มันก็โอเคนะครับ ไม่ได้แย่ ดูดีใช้ได้ด้วยซ้ำ
แต่ไม่ต้องเดินเยอะมากครับ แค่ซอยสองซอยพอ ถ้าไม่ถูกใจก็ไปเดินดูสินค้าประเภทอื่นเลยดีกว่า เสียเวลาเปล่า -*-
จากนั้นก็ไปเดินย่านรองเท้า
อันนี้หมายหมั้นปั้นมือมาก กับรองเท้ายี่ห้อแพงๆดีๆ มือสองสภาพงามๆในราคาน่าคบค้าตลอดจนราคาถูก
แต่ทว่า เดินไปทางไหนๆก็ ก๊อป ก๊อป แล้วก็ก๊อป มีแต่ก๊อป!!! โดยเฉพาะพวก Crocs หรือ Lacoste เนี่ย มีเยอะมาก!!
แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายามนะครับ ยังมองหามือสองต่อไป
... จนเจอ!!
... สภาพสินค้ามือสองนั้น เหมือนผ่านศึกสงครามโลกมายังไงยังงั้น จนอดคิดไม่ได้ว่ามือสองเนี่ย เค้าไม่ใช้แล้วโยนทิ้งมา หรือไปได้มาจากวิธีอย่างอื่นกันแน่
และด้วยสภาพที่เยินมากๆนั้น ทำให้แยกแยะไม่ถูก มองเห็นความสวยไม่เจอกันเลยทีเดียว
... จริงๆก็พออนุมานออกแหละ ว่าเอารองเท้าพวกนั้นมาซักล้างดีๆ ขัดเงาหน่อย รับรองสวยพริ้งเหมือนเดิมแน่ๆ!!
แต่ผมดูเนื้อผ้า เนื้อหนัง ดูอะไรต่อมิอะไรไม่เป็นไง ... เลยนึกไม่ออก ว่าจะเอาของเยินๆเหล่านั้นไปชุบตัวยังไงให้ออกมาดูดีได้
สุดท้ายก็เลยไม่มีอะไรกลับติดมือมาเลย -*-
สรุปภาพรวม
ดูออกเลยว่าที่นี่เจ๋งสมคำร่ำลือ แต่นั่นมันสำหรับคนตาเหยี่ยวจริงๆ เป็นแม่ค้าที่ช่ำชองจริงๆ คุณจึงจะสามารถดึงเอาของดีๆที่หลบซ่อนอยู่ที่นี่ออกมาได้ ... แต่ถ้าสำหรับคนไม่รู้เรื่องรู้ราว มะงุมมะงาหลาเข้าไป ... ก็ได้แต่เซ็งเท่านั้นครับ
เพียงแต่ว่า ถ้าคุณไม่ซีเรียสกับของก๊อป ที่นี่อาจจะเป็นสวรรค์อันละลานตาของขาช้อปได้ง่ายๆเลยเชียวล่ะคุณเอ๊ยย!!
Swiss Sheep Farm ฟาร์มแกะเปิดใหม่ที่ชะอำ!!
Swiss Sheep Farm - สวิสชีปฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยงแกะ สถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ที่ชะอำมาแล้วจ้า
ดังนั้นใครมีทริปชะอำ หัวหิน ปราณบุรี ก็เตรียมไปแวะเที่ยวที่นี่กันได้เลยครับ ^ ^
คราวนี้เราก็จะได้ชมวิวทุ่งหญ้าสวยๆ ได้เลี้ยงน้องแกะกันง่ายๆแบบว่ามาเที่ยวทะเล ก็แวะเลี้ยงแกะได้แล้วจ้า ^ ^
แถมนอกจากฟาร์มแกะปกติๆแล้ว ที่นี่ยังตกแต่งสถานที่ให้น่ารักและมีสไตล์มากๆ น่าถ่ายรูปสุดๆครับ
ลองชมภาพบางส่วนดูครับ ^ ^
ตรงนี้น่าจะทำเป็นอุโมงดอกไม้ครับ อนาคตสวยแน่ๆ
เล็กๆน้อยๆ ก็ตกแต่งกันตลอดครับ ให้มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปกันหลายมุมเลย
ร้านขายของที่ระลึกและของกินก็คงมีด้วยครับ
ไอเดียเค้าดีจริงๆ ^ ^
ใครจะไปเที่ยว Swiss Sheep Farm ก็แวะได้เลยครับ ตอนนี้เปิดให้บริการแล้ว!!
อยู่บนถนนเพชรเกษม ขับไปก่อนถึงเลี้ยวเข้าชะอำครับ คงมองเห็นไม่ยาก
สำหรับรูปที่เห็นทั้งหมด ก็นำมาจากทางเวบไซต์ของ Swiss Sheep Farm นะครับ สามารถตามไปดูรูปภาพและรายละเอียดของที่นี่เพิ่มเติมได้ที่เวบไซต์ http://swisssheepfarm.com กันเลยครับ
หรือถ้าถนัด facebook ก็ไปกดไลค์ที่ http://www.facebook.com/pages/Swiss-Sheep-Farm/424866194203199 ได้เลยจ้า ^ ^
ดังนั้นใครมีทริปชะอำ หัวหิน ปราณบุรี ก็เตรียมไปแวะเที่ยวที่นี่กันได้เลยครับ ^ ^
คราวนี้เราก็จะได้ชมวิวทุ่งหญ้าสวยๆ ได้เลี้ยงน้องแกะกันง่ายๆแบบว่ามาเที่ยวทะเล ก็แวะเลี้ยงแกะได้แล้วจ้า ^ ^
แถมนอกจากฟาร์มแกะปกติๆแล้ว ที่นี่ยังตกแต่งสถานที่ให้น่ารักและมีสไตล์มากๆ น่าถ่ายรูปสุดๆครับ
ลองชมภาพบางส่วนดูครับ ^ ^
ตรงนี้น่าจะทำเป็นอุโมงดอกไม้ครับ อนาคตสวยแน่ๆ
เล็กๆน้อยๆ ก็ตกแต่งกันตลอดครับ ให้มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปกันหลายมุมเลย
ร้านขายของที่ระลึกและของกินก็คงมีด้วยครับ
ไอเดียเค้าดีจริงๆ ^ ^
ใครจะไปเที่ยว Swiss Sheep Farm ก็แวะได้เลยครับ ตอนนี้เปิดให้บริการแล้ว!!
อยู่บนถนนเพชรเกษม ขับไปก่อนถึงเลี้ยวเข้าชะอำครับ คงมองเห็นไม่ยาก
สำหรับรูปที่เห็นทั้งหมด ก็นำมาจากทางเวบไซต์ของ Swiss Sheep Farm นะครับ สามารถตามไปดูรูปภาพและรายละเอียดของที่นี่เพิ่มเติมได้ที่เวบไซต์ http://swisssheepfarm.com กันเลยครับ
หรือถ้าถนัด facebook ก็ไปกดไลค์ที่ http://www.facebook.com/pages/Swiss-Sheep-Farm/424866194203199 ได้เลยจ้า ^ ^
ณ เกาะช้างธารารีสอร์ท รีสอร์ทเปิดใหม่!! เกาะช้าง ^ ^
ณ เกาะช้างธารารีสอร์ท - Na Koh Chang Tara Resort
คือรีสอร์ทใหม่ย่านเกาะช้างในปีนี้ที่อยากจะแนะนำกันครับ เพราะว่าที่รีสอร์ทนี้อยู่ติดชายหาดเป็นส่วนตัว และโรแมนติกมากๆครับ ^ ^
จากตัวหน้าห้องพักนี่เห็นวิวทะเลเต็มๆเลยครับ ชั้นบนก็จะได้เห็นวิวมุมสูงสวยๆ ส่วนชั้นล่างก็มีดีตรงที่ติดๆกับสระว่ายน้ำ เกือบจะเป็น Pool Access กลายๆเลยเชียวล่ะ ^ ^
สำหรับทำเลที่ตั้งของรีสอร์ทก็นี่เลยครับ!! อยู่ติดทะเลกันแบบนี้เลย!!
เมื่อตัวรีสอร์ทอยู่ติดทะเลแบบนั้น การชื่นชมบรรยากาศและวิวทะเลนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปเดินตากแดดร้อนๆแต่อย่างใด แม้ในช่วงกลางวันแดดจ้าๆ จากในห้องพัก ก็สามารถนั่งๆนอนๆเล่นชิวๆ ชมวิวทะเลได้ง่ายๆเลย ^ ^
สำหรับบางโซนสำหรับห้องพักชั้นล่างนั้น จะอยู่ใกล้ๆกับสระว่ายน้ำกว้างๆของรีสอร์ทครับ อย่างที่บอกตอนต้นก็นี่แหละครับ ยังกับเป็นห้อง pool access เลย ... แถมสระว่ายน้ำยังอยู่ติดกับชายหาดด้วย บรรยากาศดีแทบจะทุกโซนในตัวรีสอร์ทเลยครับ
ถัดจากวิวที่นำมาให้ชมกันเยอะแล้ว ก็มาดูในห้องพักกันบ้าง ห้องพักจะมีระเบียงด้านหน้าให้แบบนี้ครับ ^ ^
แม้แต่การตกแต่งสวน และประดับประดาทั่วๆไปนั้น ที่ Na Koh Chang Tara Resort ก็ทำได้สวยครับ
ก็แนะนำจ้า สำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหารีสอร์ทโรงแรมที่พักใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดบนเกาะช้าง ก็ลองดูข้อมูลรีสอร์ทนี้ไว้เป็นตัวเลือกดูได้ครับ ส่วนตัวผมมองว่าเป็นรีสอร์ทเปิดใหม่ที่น่าสนใจดีครับ
สนใจก็ติดต่อกับทางรีสอร์ทได้ที่เบอร์โทร 039-552288, 039-552299, 084-0191091
หรือดูรายละเอียดอื่นๆได้ทางเวบไซต์ของ ณ เกาะช้างธารารีสอร์ท ที่ http://www.nakohchangtara.com
หรือทางเฟสบุ๊คที่ http://www.facebook.com/atkohchangtara ครับผม
คือรีสอร์ทใหม่ย่านเกาะช้างในปีนี้ที่อยากจะแนะนำกันครับ เพราะว่าที่รีสอร์ทนี้อยู่ติดชายหาดเป็นส่วนตัว และโรแมนติกมากๆครับ ^ ^
จากตัวหน้าห้องพักนี่เห็นวิวทะเลเต็มๆเลยครับ ชั้นบนก็จะได้เห็นวิวมุมสูงสวยๆ ส่วนชั้นล่างก็มีดีตรงที่ติดๆกับสระว่ายน้ำ เกือบจะเป็น Pool Access กลายๆเลยเชียวล่ะ ^ ^
สำหรับทำเลที่ตั้งของรีสอร์ทก็นี่เลยครับ!! อยู่ติดทะเลกันแบบนี้เลย!!
เมื่อตัวรีสอร์ทอยู่ติดทะเลแบบนั้น การชื่นชมบรรยากาศและวิวทะเลนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปเดินตากแดดร้อนๆแต่อย่างใด แม้ในช่วงกลางวันแดดจ้าๆ จากในห้องพัก ก็สามารถนั่งๆนอนๆเล่นชิวๆ ชมวิวทะเลได้ง่ายๆเลย ^ ^
สำหรับบางโซนสำหรับห้องพักชั้นล่างนั้น จะอยู่ใกล้ๆกับสระว่ายน้ำกว้างๆของรีสอร์ทครับ อย่างที่บอกตอนต้นก็นี่แหละครับ ยังกับเป็นห้อง pool access เลย ... แถมสระว่ายน้ำยังอยู่ติดกับชายหาดด้วย บรรยากาศดีแทบจะทุกโซนในตัวรีสอร์ทเลยครับ
ถัดจากวิวที่นำมาให้ชมกันเยอะแล้ว ก็มาดูในห้องพักกันบ้าง ห้องพักจะมีระเบียงด้านหน้าให้แบบนี้ครับ ^ ^
แม้แต่การตกแต่งสวน และประดับประดาทั่วๆไปนั้น ที่ Na Koh Chang Tara Resort ก็ทำได้สวยครับ
ก็แนะนำจ้า สำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหารีสอร์ทโรงแรมที่พักใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดบนเกาะช้าง ก็ลองดูข้อมูลรีสอร์ทนี้ไว้เป็นตัวเลือกดูได้ครับ ส่วนตัวผมมองว่าเป็นรีสอร์ทเปิดใหม่ที่น่าสนใจดีครับ
สนใจก็ติดต่อกับทางรีสอร์ทได้ที่เบอร์โทร 039-552288, 039-552299, 084-0191091
หรือดูรายละเอียดอื่นๆได้ทางเวบไซต์ของ ณ เกาะช้างธารารีสอร์ท ที่ http://www.nakohchangtara.com
หรือทางเฟสบุ๊คที่ http://www.facebook.com/atkohchangtara ครับผม
กล้อง DSLR, Mirrorless สำหรับมือใหม่ เลือกซื้อรุ่นไหนดี?
เท่าๆที่แอบสิงอยู่ตามเวบบอร์ดเกี่ยวกับกล้องและการถ่ายรูปหลายๆแห่ง
มักจะต้องเจอคำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งอยู่เสมอ นั่นก็คือ "ช่วยเลือกกล้อง DSLR สำหรับมือใหม่ให้หน่อยครับ"
หรือไม่ก็ "มือใหม่ค่ะ ซื้อ DSLR รุ่นไหนดี?", "ไม่เคยใช้ DSLR มาก่อน ซื้อรุ่นไหนดีครับ"
ซึ่งมักจะเจออยู่เรื่อยๆ
ส่วนตัวก็เลยอยากมาแชร์ความเห็นส่วนตัว สำหรับการเลือกซื้อกล้อง DSLR, Mirrorless สำหรับหลายๆท่านที่คิดว่าตนเองเป็นมือใหม่กันหน่อยน่ะครับ ^ ^ ซึ่งคิดว่า น่าจะพอเป็นแนวทางในการเลือกซื้อกล้องได้ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนๆก็ตาม จะอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า ต่อให้ DSLR ล้มหายตายจาก เข้าสู่ยุคของกล้อง Modular ก็ไม่น่าจะต่างกัน
หลักการในการเลือกกล้องถ่ายรูปสำหรับมือใหม่นั้น
ส่วนตัวผม ขอแบ่งเป็น 2 จำำพวกครับ
1. ผู้ที่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป แต่อยากได้กล้องมาลองถ่ายดู
ก่อนหน้าที่คุณคิดจะใช้กล้อง DSLR นั้น ลองถามตัวเองดูก่อน ว่าก่อนหน้าที่จะซื้อ DSLR นั้น กับกล้องติดมือถือ, กล้องคอมแพค ... คุณใช้มันบ่อยไหม?
ถ้าคุณแทบไม่ได้ถ่ายรูปเล่น ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน ไปเที่ยวครั้งหนึ่งๆก็ถ่ายรูปน้อยมากๆ ... แสดงว่าคุณ "อาจจะ" ไม่ใช่คนที่ชอบถ่ายรูปอะไรมากมายนัก
ซึ่งคนกลุ่มนี้ มีโอกาสสูงมาก ที่ซื้อกล้องมา แล้วเอาไปวาง "ดอง" ทิ้งไว้ในตู้บ้าง ในลิ้นชักบ้าง ... เห่อใช้กล้องตอนซื้อใหม่พักเดียว จากนั้นก็ไม่ได้ใช้
... ดังนั้น ถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเป็นคนชอบหรือบ้าถ่ายรูปจริงจังแค่ไหน
แนะนำว่า ลองกล้อง DSLR มือสอง ราคาหลักพัน หรือกล้อง DSLR รุ่นถูกๆดูก่อนครับ ^ ^ อย่าไปแตะกล้องราคาเกิน 3 หมื่นเลย
ยังไม่ต้องซีเรียสถึงขั้นที่ว่า Canon กับ Nikon จะซื้อยี่ห้ออะไรดี ด้วยซ้ำครับ ... เลือกรุ่นประหยัดไปก่อนก็พอ
สาเหตุที่ให้เลือกกล้องแบบนี้ ก็เพราะว่า คุณจัดเป็นผู้เริ่มต้นกับการถ่ายรูปอย่างแท้จริง ซึ่งอนาคตคุณจะแตกเป็นสองทางคือ 1.ชอบถ่ายรูป 2.ไม่ชอบถ่ายรูป
ถ้ากลายเป็นว่าคุณชอบถ่ายรูป คุณก็ค่อยๆเรียนรู้สนุกสนานกับกล้องถูกๆไปก่อนได้ครับ มันใช้ได้สนุกเหมือนกัน และที่สำคัญ คุณซึ่งไม่รู้เรื่องกล้องเลย จะไม่รู้สึกถึง "การเปรียบเทียบ" เพราะสำหรับคนเริ่มถ่ายรูป กล้องในมือนั่นล่ะ คือที่สุดที่ชีวิตคุณได้ลองสัมผัสแล้วสำหรับครั้งแรก ค่อยๆสะสมประสบการณ์ไปได้ (ซึ่งกล้องเก่าๆมือสองราคาหลักพันน่ะ ถ้าเป็น DSLR ซะอย่าง ยังไงภาพก็ออกมาดีกว่าคอมแพคครับ)
แต่ถ้ากลายเป็นว่าคุณไม่ชอบถ่ายรูป การซื้อกล้องมือสองหรือรุ่นราคาไม่แพงมาใช้ มันก็ไม่เสียดายของเท่าซื้อรุ่นแพงๆมาแน่นอนน่ะครับ ... อย่างไรก็ตาม หากซื้อมาแล้วมีทีท่าจะดอง ไม่ได้ใช้บ่อยจริงๆ ก็รีบๆขายดีกว่าครับ ก่อนราคาจะตกมาก
2. ผู้ที่รู้ตัวเองดี ว่าเป็นคนชอบถ่ายรูปมากๆ
ก่อนหน้าที่คุณคิดจะใช้ DSLR นั้น ตอนที่คุณยังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูป หรือใช้กล้องคอมแพค ราคาไม่ได้แพงมากมายอะไรถ่ายรูปนั้น ... ถ้าคุณเป็นคนที่เห็นอะไรเป็นไม่ได้ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ ชอบถ่ายรูปมากๆไม่ว่าจะไปไหนต่อไหน
ไม่จำเป็นเลย ที่คุณจะต้องมาซื้อกล้องมือสอง กล้องรุ่นราคาถูกๆ ... ลุยไปกับรุ่นที่เงินในกระเป๋าอำนวย เลยครับ!!
เพราะผมมั่นใจว่า คนที่ชอบถ่ายรูป ยังไงๆก็ซื้อกล้องมาใช้ "คุ้ม" วันยังค่ำ ... ไม่จำเป็นต้องไปเลือกรุ่นเก่าๆถูกๆ มือสองมาใช้หรอกครับ เลือกกล้องที่ดีที่สุดที่คุณสามารถซื้อได้แบบสบายๆ ไม่เดือดร้อน มาใช้ได้เลยจ้า
ส่วนเรื่องการศึกษาเอยอะไรเอย กล้องยิ่งรุ่นใหม่ ยิ่งศึกษา ยิ่งมีออพชั่นสำหรับมือใหม่ มีโหมดออโต้ที่ฉลาดล้ำ ... ดังนั้นต่อให้เป็นมือใหม่ก็ไม่ต้องแคร์กล้องรุ่นใหญ่ครับ
เว้นแต่ว่าเบี้ยน้อยหอยน้อยจริงๆ ต่อให้ชอบกล้อง ชอบการถ่ายรูปแค่ไหน ก็ยั้งๆไว้บ้างก็ได้นะจ๊ะ อย่าให้ถึงกับต้องผ่อนอิออนเลย ^ ^"
หลังจากผ่านข้อ 1. กับ ข้อ 2. ไปแล้ว
ค่อยถึงเวลาเลือกยี่ห้อครับ ถ้าคุณสนใจ Canon กับ Nikon จะเลือกไม่ยากครับ โยนหัวก้อยยังได้เลย 555+ (เหมือนจะประชด แต่ผมพูด "จริง" นะ) ถ้าอยากให้ดูดีขึ้นมาหน่อย ก็ไปลองๆจับ ลองๆถือ แต่ละรุ่นๆที่ร้านขายกล้องได้เลยครับ ตัวไหนราคาอยู่ในงบ ถือแล้วติดมือ ถูกใจ ก็เลือกรุ่นนั้นได้เลย เพราะกล้องสองยี่ห้อนี้ ซื้อมายังไงก็ตลาดรองรับ คุณภาพก็ดี ซื้อมาเลย ไม่ต้องคิดมาก ... อย่างไรก็ตาม หากจะขยันนิด ศึกษาข้อมูลก่อนซื้อดูหน่อย ก็ต้องเป็นการดีกว่าอยู่แล้วล่ะจ๊ะ ^ ^
แต่ถ้าสนใจยี่ห้ออื่น ต้องศึกษาข้อดีข้อเสียของกล้องดีๆ ... ไม่ใช่ว่ากล้องยี่ห้ออื่นๆสู้ Canon กับ Nikon ไม่ได้นะครับ (มืออาชีพชอบแนะนำสองยี่ห้อนี้) จริงๆแล้ว กล้องยี่ห้ออื่นๆถ่ายดีนะครับ ในรุ่นที่ราคาเท่าๆกับ เผลอๆดีกว่า Canon กับ Nikon ด้วยซ้ำ ไม่ได้พูดเล่นนะครับ แต่ที่ให้ศึกษาดีๆ เพราะถ้าคุณไม่รู้จักกล้องตัวเองดีพอ คุณจะต้านกระแส "ทำไมไม่ใช้ Canon กับ Nikon" ไม่ไหว
แต่ถ้าคุณรู้ คุณจะตอบตนเองและผู้อื่นได้ดี ว่ากล้องในมือคุณ ดีกว่ากล้อง Canon และ Nikon ที่คนอื่นแนะนำอย่างไร? และเพราะเหตุใดคุณจึงซื้อรุ่นนี้ ... หลักๆก็ไม่ได้ให้ตอบคนอื่นหรอกครับ แต่ตอบตัวเองนี่แหละ ... มือใหม่ที่ไปซื้อยี่ห้ออื่นหลายๆคน ไขว้เขวกันเยอะ ว่าทำไมตนเองไม่เลือก Canon กับ Nikon ... แต่ถ้าเราตอบตัวเองได้ ก็จบครับ ^ ^
ก็เป็นความเห็นส่วนตัวน่ะนะครับ หวังว่าพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
ใครมีข้อคิดดีๆ อยากแนะนำ ติติง คอมเมนต์ได้เลยนะครับ ^ ^
มักจะต้องเจอคำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งอยู่เสมอ นั่นก็คือ "ช่วยเลือกกล้อง DSLR สำหรับมือใหม่ให้หน่อยครับ"
หรือไม่ก็ "มือใหม่ค่ะ ซื้อ DSLR รุ่นไหนดี?", "ไม่เคยใช้ DSLR มาก่อน ซื้อรุ่นไหนดีครับ"
ซึ่งมักจะเจออยู่เรื่อยๆ
ส่วนตัวก็เลยอยากมาแชร์ความเห็นส่วนตัว สำหรับการเลือกซื้อกล้อง DSLR, Mirrorless สำหรับหลายๆท่านที่คิดว่าตนเองเป็นมือใหม่กันหน่อยน่ะครับ ^ ^ ซึ่งคิดว่า น่าจะพอเป็นแนวทางในการเลือกซื้อกล้องได้ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนๆก็ตาม จะอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า ต่อให้ DSLR ล้มหายตายจาก เข้าสู่ยุคของกล้อง Modular ก็ไม่น่าจะต่างกัน
หลักการในการเลือกกล้องถ่ายรูปสำหรับมือใหม่นั้น
ส่วนตัวผม ขอแบ่งเป็น 2 จำำพวกครับ
1. ผู้ที่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป แต่อยากได้กล้องมาลองถ่ายดู
ก่อนหน้าที่คุณคิดจะใช้กล้อง DSLR นั้น ลองถามตัวเองดูก่อน ว่าก่อนหน้าที่จะซื้อ DSLR นั้น กับกล้องติดมือถือ, กล้องคอมแพค ... คุณใช้มันบ่อยไหม?
ถ้าคุณแทบไม่ได้ถ่ายรูปเล่น ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน ไปเที่ยวครั้งหนึ่งๆก็ถ่ายรูปน้อยมากๆ ... แสดงว่าคุณ "อาจจะ" ไม่ใช่คนที่ชอบถ่ายรูปอะไรมากมายนัก
ซึ่งคนกลุ่มนี้ มีโอกาสสูงมาก ที่ซื้อกล้องมา แล้วเอาไปวาง "ดอง" ทิ้งไว้ในตู้บ้าง ในลิ้นชักบ้าง ... เห่อใช้กล้องตอนซื้อใหม่พักเดียว จากนั้นก็ไม่ได้ใช้
... ดังนั้น ถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเป็นคนชอบหรือบ้าถ่ายรูปจริงจังแค่ไหน
แนะนำว่า ลองกล้อง DSLR มือสอง ราคาหลักพัน หรือกล้อง DSLR รุ่นถูกๆดูก่อนครับ ^ ^ อย่าไปแตะกล้องราคาเกิน 3 หมื่นเลย
ยังไม่ต้องซีเรียสถึงขั้นที่ว่า Canon กับ Nikon จะซื้อยี่ห้ออะไรดี ด้วยซ้ำครับ ... เลือกรุ่นประหยัดไปก่อนก็พอ
สาเหตุที่ให้เลือกกล้องแบบนี้ ก็เพราะว่า คุณจัดเป็นผู้เริ่มต้นกับการถ่ายรูปอย่างแท้จริง ซึ่งอนาคตคุณจะแตกเป็นสองทางคือ 1.ชอบถ่ายรูป 2.ไม่ชอบถ่ายรูป
ถ้ากลายเป็นว่าคุณชอบถ่ายรูป คุณก็ค่อยๆเรียนรู้สนุกสนานกับกล้องถูกๆไปก่อนได้ครับ มันใช้ได้สนุกเหมือนกัน และที่สำคัญ คุณซึ่งไม่รู้เรื่องกล้องเลย จะไม่รู้สึกถึง "การเปรียบเทียบ" เพราะสำหรับคนเริ่มถ่ายรูป กล้องในมือนั่นล่ะ คือที่สุดที่ชีวิตคุณได้ลองสัมผัสแล้วสำหรับครั้งแรก ค่อยๆสะสมประสบการณ์ไปได้ (ซึ่งกล้องเก่าๆมือสองราคาหลักพันน่ะ ถ้าเป็น DSLR ซะอย่าง ยังไงภาพก็ออกมาดีกว่าคอมแพคครับ)
แต่ถ้ากลายเป็นว่าคุณไม่ชอบถ่ายรูป การซื้อกล้องมือสองหรือรุ่นราคาไม่แพงมาใช้ มันก็ไม่เสียดายของเท่าซื้อรุ่นแพงๆมาแน่นอนน่ะครับ ... อย่างไรก็ตาม หากซื้อมาแล้วมีทีท่าจะดอง ไม่ได้ใช้บ่อยจริงๆ ก็รีบๆขายดีกว่าครับ ก่อนราคาจะตกมาก
2. ผู้ที่รู้ตัวเองดี ว่าเป็นคนชอบถ่ายรูปมากๆ
ก่อนหน้าที่คุณคิดจะใช้ DSLR นั้น ตอนที่คุณยังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูป หรือใช้กล้องคอมแพค ราคาไม่ได้แพงมากมายอะไรถ่ายรูปนั้น ... ถ้าคุณเป็นคนที่เห็นอะไรเป็นไม่ได้ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ ชอบถ่ายรูปมากๆไม่ว่าจะไปไหนต่อไหน
ไม่จำเป็นเลย ที่คุณจะต้องมาซื้อกล้องมือสอง กล้องรุ่นราคาถูกๆ ... ลุยไปกับรุ่นที่เงินในกระเป๋าอำนวย เลยครับ!!
เพราะผมมั่นใจว่า คนที่ชอบถ่ายรูป ยังไงๆก็ซื้อกล้องมาใช้ "คุ้ม" วันยังค่ำ ... ไม่จำเป็นต้องไปเลือกรุ่นเก่าๆถูกๆ มือสองมาใช้หรอกครับ เลือกกล้องที่ดีที่สุดที่คุณสามารถซื้อได้แบบสบายๆ ไม่เดือดร้อน มาใช้ได้เลยจ้า
ส่วนเรื่องการศึกษาเอยอะไรเอย กล้องยิ่งรุ่นใหม่ ยิ่งศึกษา ยิ่งมีออพชั่นสำหรับมือใหม่ มีโหมดออโต้ที่ฉลาดล้ำ ... ดังนั้นต่อให้เป็นมือใหม่ก็ไม่ต้องแคร์กล้องรุ่นใหญ่ครับ
เว้นแต่ว่าเบี้ยน้อยหอยน้อยจริงๆ ต่อให้ชอบกล้อง ชอบการถ่ายรูปแค่ไหน ก็ยั้งๆไว้บ้างก็ได้นะจ๊ะ อย่าให้ถึงกับต้องผ่อนอิออนเลย ^ ^"
-------------------------------------------------------
หลังจากผ่านข้อ 1. กับ ข้อ 2. ไปแล้ว
ค่อยถึงเวลาเลือกยี่ห้อครับ ถ้าคุณสนใจ Canon กับ Nikon จะเลือกไม่ยากครับ โยนหัวก้อยยังได้เลย 555+ (เหมือนจะประชด แต่ผมพูด "จริง" นะ) ถ้าอยากให้ดูดีขึ้นมาหน่อย ก็ไปลองๆจับ ลองๆถือ แต่ละรุ่นๆที่ร้านขายกล้องได้เลยครับ ตัวไหนราคาอยู่ในงบ ถือแล้วติดมือ ถูกใจ ก็เลือกรุ่นนั้นได้เลย เพราะกล้องสองยี่ห้อนี้ ซื้อมายังไงก็ตลาดรองรับ คุณภาพก็ดี ซื้อมาเลย ไม่ต้องคิดมาก ... อย่างไรก็ตาม หากจะขยันนิด ศึกษาข้อมูลก่อนซื้อดูหน่อย ก็ต้องเป็นการดีกว่าอยู่แล้วล่ะจ๊ะ ^ ^
แต่ถ้าสนใจยี่ห้ออื่น ต้องศึกษาข้อดีข้อเสียของกล้องดีๆ ... ไม่ใช่ว่ากล้องยี่ห้ออื่นๆสู้ Canon กับ Nikon ไม่ได้นะครับ (มืออาชีพชอบแนะนำสองยี่ห้อนี้) จริงๆแล้ว กล้องยี่ห้ออื่นๆถ่ายดีนะครับ ในรุ่นที่ราคาเท่าๆกับ เผลอๆดีกว่า Canon กับ Nikon ด้วยซ้ำ ไม่ได้พูดเล่นนะครับ แต่ที่ให้ศึกษาดีๆ เพราะถ้าคุณไม่รู้จักกล้องตัวเองดีพอ คุณจะต้านกระแส "ทำไมไม่ใช้ Canon กับ Nikon" ไม่ไหว
แต่ถ้าคุณรู้ คุณจะตอบตนเองและผู้อื่นได้ดี ว่ากล้องในมือคุณ ดีกว่ากล้อง Canon และ Nikon ที่คนอื่นแนะนำอย่างไร? และเพราะเหตุใดคุณจึงซื้อรุ่นนี้ ... หลักๆก็ไม่ได้ให้ตอบคนอื่นหรอกครับ แต่ตอบตัวเองนี่แหละ ... มือใหม่ที่ไปซื้อยี่ห้ออื่นหลายๆคน ไขว้เขวกันเยอะ ว่าทำไมตนเองไม่เลือก Canon กับ Nikon ... แต่ถ้าเราตอบตัวเองได้ ก็จบครับ ^ ^
ก็เป็นความเห็นส่วนตัวน่ะนะครับ หวังว่าพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
ใครมีข้อคิดดีๆ อยากแนะนำ ติติง คอมเมนต์ได้เลยนะครับ ^ ^
Hasselblad ทำกล้อง Mirrorless!!
ข่าวลืออันน่าทึ่งออกมาอีกแล้ว สำหรับข่าวของกล้องสไตล์ Mirrorless!!
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าตอนนี้กระแสกล้องไร้กระจกหรือ Mirrorless นั้น มันมาแรงมากๆ เพราะว่ากล้อง Mirrorless นั้น สามารถสร้างออกมาโดยคงคุณภาพไฟล์ภาพแบบ DSLR ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเซนเซอร์แบบไหน แต่ที่แน่ๆ หากยกกระจกออกไป ขนาดมันก็ต้องเล็กลงบางลงมากแน่ๆ ... เมื่อคุณภาพดี แต่พกพาง่ายขึ้น ความนิยมก็เลยตามมาได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ใครเล่า จะคิดถึง!! ว่าความแรงของ Mirrorless นี้ ทาง Hasselblad ก็เล่นกับเค้าด้วย!!
และพอมันเป็น Mirrrorless จากยี่ห้อโคตรดังเรื่องความเป็นสุดยอดของกล้องอย่างนี้ มีหรือที่ Hasselblad จะพลาดทำกล้องกิ๊กก๊อกออกมา!!
เพราะข่าวลือดังกล่าวนั้น บอกว่ากล้อง Mirrorless ของ Hasselblad นั้น เป็นกล้องที่มีเซนเซอร์ขนาดพอๆกับ Medium format!!
โดยขนาดเซนเซอร์นั้น จะใหญ่เป็นถึง 2 เ่ท่าของกล้องฟูลเฟรม FF Format กันเลยทีเดียว!! *0* และเซนเซอร์นั้น จะไม่ใช่ CCD Sensor แต่เป็น CMOS Sensor ต่างหาก ... ยิ่งน่าสนเข้าไปอีำก!!
สำหรับสเปคของ Hasselblad Mirrorless นั้น ก็ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลออกมานะครับ รู้แต่ว่าขนาดเซนเซอร์ใหญ่มากนั่นเอง
แต่ดูยี่ห้อแล้ว แทบจะหวังสูงได้เลยครับ Hasselblad ทั้งที!!
แต่หน้าตาของกล้อง คงไม่เป็นแบบนี้แน่ๆครับ (นี่คือรูปของ Hasselblad H4D ครับ)
เพราะว่ากล้องครั้งนี้เป็น Mirrorless ย่อมต้องคงคอนเซปท์บางเบากว่ากล้องเดิมๆแน่แท้
ตัวใหญ่หนาเทอะทะแบบกล้อง H4D นั้น มันจะหลุดคนเซปท์ Mirrorless
ปล.สำหรับราคาของ Hasselblad แบบ Mirrorless นั้น ก็ยังไม่รู้ แต่มันต้องโหดน่าดูชมแน่นอนครับ ^ ^"
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าตอนนี้กระแสกล้องไร้กระจกหรือ Mirrorless นั้น มันมาแรงมากๆ เพราะว่ากล้อง Mirrorless นั้น สามารถสร้างออกมาโดยคงคุณภาพไฟล์ภาพแบบ DSLR ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเซนเซอร์แบบไหน แต่ที่แน่ๆ หากยกกระจกออกไป ขนาดมันก็ต้องเล็กลงบางลงมากแน่ๆ ... เมื่อคุณภาพดี แต่พกพาง่ายขึ้น ความนิยมก็เลยตามมาได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ใครเล่า จะคิดถึง!! ว่าความแรงของ Mirrorless นี้ ทาง Hasselblad ก็เล่นกับเค้าด้วย!!
และพอมันเป็น Mirrrorless จากยี่ห้อโคตรดังเรื่องความเป็นสุดยอดของกล้องอย่างนี้ มีหรือที่ Hasselblad จะพลาดทำกล้องกิ๊กก๊อกออกมา!!
เพราะข่าวลือดังกล่าวนั้น บอกว่ากล้อง Mirrorless ของ Hasselblad นั้น เป็นกล้องที่มีเซนเซอร์ขนาดพอๆกับ Medium format!!
โดยขนาดเซนเซอร์นั้น จะใหญ่เป็นถึง 2 เ่ท่าของกล้องฟูลเฟรม FF Format กันเลยทีเดียว!! *0* และเซนเซอร์นั้น จะไม่ใช่ CCD Sensor แต่เป็น CMOS Sensor ต่างหาก ... ยิ่งน่าสนเข้าไปอีำก!!
สำหรับสเปคของ Hasselblad Mirrorless นั้น ก็ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลออกมานะครับ รู้แต่ว่าขนาดเซนเซอร์ใหญ่มากนั่นเอง
แต่ดูยี่ห้อแล้ว แทบจะหวังสูงได้เลยครับ Hasselblad ทั้งที!!
แต่หน้าตาของกล้อง คงไม่เป็นแบบนี้แน่ๆครับ (นี่คือรูปของ Hasselblad H4D ครับ)
เพราะว่ากล้องครั้งนี้เป็น Mirrorless ย่อมต้องคงคอนเซปท์บางเบากว่ากล้องเดิมๆแน่แท้
ตัวใหญ่หนาเทอะทะแบบกล้อง H4D นั้น มันจะหลุดคนเซปท์ Mirrorless
ปล.สำหรับราคาของ Hasselblad แบบ Mirrorless นั้น ก็ยังไม่รู้ แต่มันต้องโหดน่าดูชมแน่นอนครับ ^ ^"
Olympus 25mm f1.8 เลนส์ใหม่จากโอลิมปัส!!?
ข่าวลือ ข่าวเล่าอ้าง มาอีกแล้ว สำหรับการเปิดตัวของ Olympus 25mm f1.8 บนระบบ Micro Fourthirds!!
ลือกันว่ามันจะมาในงาน Photokina น่ะครับ
... ส่วนตัวนั้น ตอนเห็นข่าวก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรหรอก ... เพราะอดคิดไม่ได้ว่า "มันจะสู้ Leica 25mm f1.4 ได้เร้อออ" เพราะเลนส์ในระบบ M4/3 นั้น ช่วงฟิกซ์ 25mm ก็มี 25mm 1.4 นี่แหละครับ ใครๆก็บอกว่าตัวนี้เทพ
แต่ถ้าจะบอกว่า 25mm 1.4 แพงไป ... ค่าย Panasonic ก็ยังส่ง 20mm f1.7 เข้ามาในตลาดตั้งนานแล้ว เรื่องความคมชัด ใครๆก็ชมว่าคมตั้งแต่ f1.7!! ... พอเห็นโอลิมปัสจะส่ง 25mm f1.8 ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ว่าจะสู้เค้าได้เ้ร้อ~~ -*-
นี่ครับ รูปของ Panasonic - Leica 25mm f1.4 อันลือลั่น!! โอลิมปัสจะสู้เค้าได้เรอะเนี่ย!!
...
...
... ทว่า ... ข่าวลือมันยังไม่หมดครับ ข่าวออกมาว่า Olympus จะส่งเลนส์ 25mm 1.8 มาในตลาด
... ในราคา ... ประมาณ 250 USD!! โอ้ววว แม่เจ้า เริ่มน่าสนขึ้นมาทันใด!! 555+ ^ ^"
ก็แหม~~ ราคาประมาณนี้ ถ้าคำนวนเป็นเงินไทยก็ประมาณ 7,500 - 8,000 บาท!! ซึ่งจัดว่า ราคาถูกมากกกกกก!!
เห็นราคาแล้วก็นะ คมน้อยมานิดหน่อยก็ไม่ว่ากัน ถ้าราคานี้แล้้วคุณภาพพอจะรับได้ ^ ^ เรียกว่าราคาน่าคบหาสำหรับเลนส์ช่วงนี้มากๆ
เพราะ 20mm 1.7 นั้น มือสองก็ 10,000 - 12,000 บาทเข้าไปแล้ว ... ยิ่ง 25mm 1.4 ก็ยิ่งแพงโฉดไปอีก
... ไม่เท่านั้น 25mm 1.8 นี้ ยังลืออีกว่า ขนาดประมาณเลนส์แพนเค้กสองชั้นเท่านั้นเอง ไม่ใหญ่ครับ ^ ^
ก็หวังว่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ แฟนๆ M4/3 ที่เบี้ยน้อยหอยน้อย คงดีใจแย่เลย ^ ^
ลือกันว่ามันจะมาในงาน Photokina น่ะครับ
... ส่วนตัวนั้น ตอนเห็นข่าวก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรหรอก ... เพราะอดคิดไม่ได้ว่า "มันจะสู้ Leica 25mm f1.4 ได้เร้อออ" เพราะเลนส์ในระบบ M4/3 นั้น ช่วงฟิกซ์ 25mm ก็มี 25mm 1.4 นี่แหละครับ ใครๆก็บอกว่าตัวนี้เทพ
แต่ถ้าจะบอกว่า 25mm 1.4 แพงไป ... ค่าย Panasonic ก็ยังส่ง 20mm f1.7 เข้ามาในตลาดตั้งนานแล้ว เรื่องความคมชัด ใครๆก็ชมว่าคมตั้งแต่ f1.7!! ... พอเห็นโอลิมปัสจะส่ง 25mm f1.8 ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ว่าจะสู้เค้าได้เ้ร้อ~~ -*-
นี่ครับ รูปของ Panasonic - Leica 25mm f1.4 อันลือลั่น!! โอลิมปัสจะสู้เค้าได้เรอะเนี่ย!!
...
...
... ทว่า ... ข่าวลือมันยังไม่หมดครับ ข่าวออกมาว่า Olympus จะส่งเลนส์ 25mm 1.8 มาในตลาด
... ในราคา ... ประมาณ 250 USD!! โอ้ววว แม่เจ้า เริ่มน่าสนขึ้นมาทันใด!! 555+ ^ ^"
ก็แหม~~ ราคาประมาณนี้ ถ้าคำนวนเป็นเงินไทยก็ประมาณ 7,500 - 8,000 บาท!! ซึ่งจัดว่า ราคาถูกมากกกกกก!!
เห็นราคาแล้วก็นะ คมน้อยมานิดหน่อยก็ไม่ว่ากัน ถ้าราคานี้แล้้วคุณภาพพอจะรับได้ ^ ^ เรียกว่าราคาน่าคบหาสำหรับเลนส์ช่วงนี้มากๆ
เพราะ 20mm 1.7 นั้น มือสองก็ 10,000 - 12,000 บาทเข้าไปแล้ว ... ยิ่ง 25mm 1.4 ก็ยิ่งแพงโฉดไปอีก
... ไม่เท่านั้น 25mm 1.8 นี้ ยังลืออีกว่า ขนาดประมาณเลนส์แพนเค้กสองชั้นเท่านั้นเอง ไม่ใหญ่ครับ ^ ^
ก็หวังว่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ แฟนๆ M4/3 ที่เบี้ยน้อยหอยน้อย คงดีใจแย่เลย ^ ^
รีวิว Mr.Sushi - มิสเตอร์ซูชิ ร้านอาหารญี่ปุ่น นครสวรรค์, พิษณุโลก, มน. ^ ^
สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านอาหารญี่ปุ่นในตัวเมืองนครสวรรค์ พิษณุโลก หรือ มน.(มหาวิทยาลัยนเรศวร)
ก็ขอแนะนำให้รู้จักกับ Mr.Sushi - มิสเตอร์ซูชิ ร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าดังที่เริ่มขยายกิจการไปในหลายๆจังหวัด ร้านนี้กันหน่อยครับ!! ^ ^
หากจะเกริ่นถึงร้านมิสเตอร์ซูชิเนี่ย ส่วนตัวเคยทานมาแล้ว 2-3 ครั้งครับ ครั้งแรกคุณแฟนพาไปทานที่สาขาที่ข้างม.นเรศวร พิษณุโลกน่ะครับ ก็ประทับใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะครับ ถ่ายรูปเอาไว้เหมือนกัน แต่ไม่ได้เอามารีวิว (ตอนนั้นยังไม่บ้าทำบล็อคเท่าไหร่ด้วยน่ะครับ)
รอบล่าสุดที่ได้ไปทานมานี้ ก็คือสาขาที่นครสวรรค์ครับ อยู่ข้างอุทยานสวรรค์(หนองสมบูรณ์)ครับ ถ้าไม่รู้อยู่ตรงไหน ก็ขับวนรอบๆหนองครับ เดี๋ยวก็เจอ 555+ (ถ้าหันหน้าเข้าสู่ป้าย อุทยานสวรรค์ ให้ไปทางซ้ายจะใกล้ครับ) ... และที่จะเอามารีวิวให้ดูนี้ก็คือของสาขานครสวรรค์จ้า ^ ^
สาเหตุที่ไปทานครั้งนี้ ก็เพื่อเลี้ยงส่งรุ่นน้องที่จะย้ายที่ทำงานน่ะครับ เป็นทริปเลี้ยงส่งชิวๆสบายๆไม่มีพิธีการอะไร (พูดง่ายๆก็คือยกพวกไป 4-5 คน เพื่อกินอาหารธรรมดาๆนั่นเอง ^ ^")
ในร้านของมิสเตอร์ซูชินั้น จะมีต้นซากุระจำลองประดับหราอยู่กลางร้านเลยครับ สวยงามมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู เพราะว่าที่นั่งชั้นล่างเต็ม ผมเลยต้องระเห็ดไปทานด้านบน(ร้านที่นครสวรรค์มีสองชั้น) เลยเก็บภาพด้านบนมาให้ชมกันครับ
ความหลากหลายของเมนูอาหารญี่ปุ่นที่ร้านนี้นั้น ส่วนตัวมองว่าค่อนข้างหลากหลายทีเดียวครับ คออาหารญี่ปุ่นต้องชอบแน่ๆอ่ะผมว่า
...
หลังจากสั่งอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ไม่นานนักอาหารก็มาครับ รอไม่นานเลย (ไม่ได้เร็วมากมายอะไร แต่ก็จัดว่ารอไม่นานน่ะครับ)
น้องๆที่ไปทานด้วยกันก็สั่งซูชิกันขนานใหญ่ เค้าจะมีใบให้กรอกตัวเลขเลยครับ ว่าจะเอาซูชิหน้าอะไรจำนวนกี่ชิ้น ^ ^
สำหรับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ส่วนตัวผมนั้นเกิดมาไม่เคยทานซูชิอร่อยขนาดต้องอยากกิน ความอยากในการทานซูชิอยู่ในระดับที่เรียกว่า "แค่กินก็ได้" เมนูนี้ก็เลยขอบาย เพื่อตุนท้องไว้กินเมนูอื่นดีกว่า เหอๆ
ก็เลยไม่สามารถวิจารณ์รสชาติของซูชิได้มากนัก ... แต่ทุกๆคนที่ไปทานนั้น ส่วนใหญ่จะบอกว่าชอบซูชิร้านนี้ ประมาณว่าอร่อยว่างั้นเถอะ
ถ้าพูดถึงเมนูที่ผมชอบ ต้องนี่ครับ ... จำชื่อไม่ได้ เพราะผมไม่ได้สั่ง แต่พอคนอื่นสั่งแล้วลองกินของเค้าแล้ว เห็นว่าอร่อยดี เป็นประมาณๆว่าเนื้อห่อเห็ดเข็มทองสอดใส้ชีสแล้วก็ทอดน่ะครับ
แล้วก็อาหารอื่นๆที่คุ้นเคยกันครับ เช่น ข้าวหน้าหมูทอด(เมนูที่ผมชอบสั่งที่ร้านอาหารญี่ปุ่น) ข้าวหน้าปลาทอด ข้าวหน้าเนื้อย่าง กุ้งเทมปุระ (ส่วนตัวมองว่ากุ้งเทมปุระร้านนี้ทำดีครับ ... จริงๆมันก็แค่เทมปุระนะ ไม่น่าจะต่างจากร้านอื่นไปยังไง แต่ผมกินที่นี่รู้สึกว่ามันโอเคดีอ่ะ)
และอีกรายการเครื่องดื่มที่ผมขอแนะนำเป็นการส่วนตัว เมนูนี้สั่งเองครับ กับชาเขียวนม
ชาเขียวนมที่นี่แตกต่างจากชาเขียวนมเย็นร้านอื่นๆอย่างสิ้นเชิง เพราะเท่าที่ลองๆทานมา ที่อื่นๆจะเป็นชาเขียวรสเข้มๆ (ส่วนตัวมักจะแวะทานของคาเฟ่อเมซอนบ่อยๆ) แต่ที่ร้าน Mr.Sushi แห่งนี้ รสชาตินมและครีมจะหวานหอมมากๆแล้วก็จะได้รสชาเขียวกลางๆไม่เข้มไม่จืดจนเกินไป เป็นอีกเมนูที่คนชอบชาเขียวนมสดต้องลองดูครับ เป็นอีกรสชาติหนึ่ง ^ ^
ก็เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ที่คิดว่าคนชอบทานอาหารญี่ปุ่นต้องชอบอ่ะครับ ... ส่วนตัวเคยทานแค่ฟูจิ ยาโยอิ และอีกไม่กี่ร้านก็จริง แต่ก็คิดว่าร้านนี้ก็เป็นร้านที่ไม่แพ้ร้านอื่นๆที่ลองทานมาเลยครับ ถ้าชอบอาหารญี่ปุ่นแล้วอยู่ย่านนครสวรรค์ พิษณุโลก ก็มาลองทานได้ครับ (แต่เชื่อเถอะ ว่าถ้าเป็นคนชอบทานอาหารญี่ปุ่นจริง ต้องได้ลองมิสเตอร์ซูชิมาก่อนแล้วแน่ๆ ^ ^")
ส่วนสาขาที่จังหวัดอื่นๆของร้าน Mr.Sushi นั้น ก็มีที่ ระยอง ขอนแก่น บุรีรัมย์ จันทบุรี สระบุรี แล้วก็กำลังจะเปิดเพิ่มที่อุดรธานีด้วยครับ ใครอยู่จังหวัดดังกล่าว ก็ลองแวะไปทานได้จ้า ^ ^
ก็ขอแนะนำให้รู้จักกับ Mr.Sushi - มิสเตอร์ซูชิ ร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าดังที่เริ่มขยายกิจการไปในหลายๆจังหวัด ร้านนี้กันหน่อยครับ!! ^ ^
หากจะเกริ่นถึงร้านมิสเตอร์ซูชิเนี่ย ส่วนตัวเคยทานมาแล้ว 2-3 ครั้งครับ ครั้งแรกคุณแฟนพาไปทานที่สาขาที่ข้างม.นเรศวร พิษณุโลกน่ะครับ ก็ประทับใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะครับ ถ่ายรูปเอาไว้เหมือนกัน แต่ไม่ได้เอามารีวิว (ตอนนั้นยังไม่บ้าทำบล็อคเท่าไหร่ด้วยน่ะครับ)
รอบล่าสุดที่ได้ไปทานมานี้ ก็คือสาขาที่นครสวรรค์ครับ อยู่ข้างอุทยานสวรรค์(หนองสมบูรณ์)ครับ ถ้าไม่รู้อยู่ตรงไหน ก็ขับวนรอบๆหนองครับ เดี๋ยวก็เจอ 555+ (ถ้าหันหน้าเข้าสู่ป้าย อุทยานสวรรค์ ให้ไปทางซ้ายจะใกล้ครับ) ... และที่จะเอามารีวิวให้ดูนี้ก็คือของสาขานครสวรรค์จ้า ^ ^
สาเหตุที่ไปทานครั้งนี้ ก็เพื่อเลี้ยงส่งรุ่นน้องที่จะย้ายที่ทำงานน่ะครับ เป็นทริปเลี้ยงส่งชิวๆสบายๆไม่มีพิธีการอะไร (พูดง่ายๆก็คือยกพวกไป 4-5 คน เพื่อกินอาหารธรรมดาๆนั่นเอง ^ ^")
ในร้านของมิสเตอร์ซูชินั้น จะมีต้นซากุระจำลองประดับหราอยู่กลางร้านเลยครับ สวยงามมาก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู เพราะว่าที่นั่งชั้นล่างเต็ม ผมเลยต้องระเห็ดไปทานด้านบน(ร้านที่นครสวรรค์มีสองชั้น) เลยเก็บภาพด้านบนมาให้ชมกันครับ
ความหลากหลายของเมนูอาหารญี่ปุ่นที่ร้านนี้นั้น ส่วนตัวมองว่าค่อนข้างหลากหลายทีเดียวครับ คออาหารญี่ปุ่นต้องชอบแน่ๆอ่ะผมว่า
...
หลังจากสั่งอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ไม่นานนักอาหารก็มาครับ รอไม่นานเลย (ไม่ได้เร็วมากมายอะไร แต่ก็จัดว่ารอไม่นานน่ะครับ)
น้องๆที่ไปทานด้วยกันก็สั่งซูชิกันขนานใหญ่ เค้าจะมีใบให้กรอกตัวเลขเลยครับ ว่าจะเอาซูชิหน้าอะไรจำนวนกี่ชิ้น ^ ^
สำหรับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ส่วนตัวผมนั้นเกิดมาไม่เคยทานซูชิอร่อยขนาดต้องอยากกิน ความอยากในการทานซูชิอยู่ในระดับที่เรียกว่า "แค่กินก็ได้" เมนูนี้ก็เลยขอบาย เพื่อตุนท้องไว้กินเมนูอื่นดีกว่า เหอๆ
ก็เลยไม่สามารถวิจารณ์รสชาติของซูชิได้มากนัก ... แต่ทุกๆคนที่ไปทานนั้น ส่วนใหญ่จะบอกว่าชอบซูชิร้านนี้ ประมาณว่าอร่อยว่างั้นเถอะ
ถ้าพูดถึงเมนูที่ผมชอบ ต้องนี่ครับ ... จำชื่อไม่ได้ เพราะผมไม่ได้สั่ง แต่พอคนอื่นสั่งแล้วลองกินของเค้าแล้ว เห็นว่าอร่อยดี เป็นประมาณๆว่าเนื้อห่อเห็ดเข็มทองสอดใส้ชีสแล้วก็ทอดน่ะครับ
แล้วก็อาหารอื่นๆที่คุ้นเคยกันครับ เช่น ข้าวหน้าหมูทอด(เมนูที่ผมชอบสั่งที่ร้านอาหารญี่ปุ่น) ข้าวหน้าปลาทอด ข้าวหน้าเนื้อย่าง กุ้งเทมปุระ (ส่วนตัวมองว่ากุ้งเทมปุระร้านนี้ทำดีครับ ... จริงๆมันก็แค่เทมปุระนะ ไม่น่าจะต่างจากร้านอื่นไปยังไง แต่ผมกินที่นี่รู้สึกว่ามันโอเคดีอ่ะ)
และอีกรายการเครื่องดื่มที่ผมขอแนะนำเป็นการส่วนตัว เมนูนี้สั่งเองครับ กับชาเขียวนม
ชาเขียวนมที่นี่แตกต่างจากชาเขียวนมเย็นร้านอื่นๆอย่างสิ้นเชิง เพราะเท่าที่ลองๆทานมา ที่อื่นๆจะเป็นชาเขียวรสเข้มๆ (ส่วนตัวมักจะแวะทานของคาเฟ่อเมซอนบ่อยๆ) แต่ที่ร้าน Mr.Sushi แห่งนี้ รสชาตินมและครีมจะหวานหอมมากๆแล้วก็จะได้รสชาเขียวกลางๆไม่เข้มไม่จืดจนเกินไป เป็นอีกเมนูที่คนชอบชาเขียวนมสดต้องลองดูครับ เป็นอีกรสชาติหนึ่ง ^ ^
ก็เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ที่คิดว่าคนชอบทานอาหารญี่ปุ่นต้องชอบอ่ะครับ ... ส่วนตัวเคยทานแค่ฟูจิ ยาโยอิ และอีกไม่กี่ร้านก็จริง แต่ก็คิดว่าร้านนี้ก็เป็นร้านที่ไม่แพ้ร้านอื่นๆที่ลองทานมาเลยครับ ถ้าชอบอาหารญี่ปุ่นแล้วอยู่ย่านนครสวรรค์ พิษณุโลก ก็มาลองทานได้ครับ (แต่เชื่อเถอะ ว่าถ้าเป็นคนชอบทานอาหารญี่ปุ่นจริง ต้องได้ลองมิสเตอร์ซูชิมาก่อนแล้วแน่ๆ ^ ^")
ส่วนสาขาที่จังหวัดอื่นๆของร้าน Mr.Sushi นั้น ก็มีที่ ระยอง ขอนแก่น บุรีรัมย์ จันทบุรี สระบุรี แล้วก็กำลังจะเปิดเพิ่มที่อุดรธานีด้วยครับ ใครอยู่จังหวัดดังกล่าว ก็ลองแวะไปทานได้จ้า ^ ^
วง Spitz เพลงเบาสบายติดหู จากญี่ปุ่น ^ ^
ก็ไม่เชิงเป็นแฟนเพลงตัวยงหรอกนะครับ สำหรับวง Spitz กับผม
แต่หากใครบ่นๆว่าอยากฟังเพลงจากแดนอาทิตย์อุทัยที่เบาๆสบายๆ ติดหูง่ายๆ ป๊อปไม่เลี่ยน ก็อยากจะแนะนำวง Spitz ให้ได้ฟังกันครับ
วงนี้ผมก็ตามๆฟังมาหลายเพลงเลย ชอบแทบจะทุกเพลง ก็เลยอยากจะแนะนำให้คนอื่นลองฟังบ้างก็เท่านั้นเองจ้า
... อืมมม แต่จะว่าไป ... ตอนได้ฟังเพลงของวงนี้ใหม่ๆก็เกือบจะคลั่งไคล้อยู่นะ 555+ ^ ^"
สาเหตุที่ได้ฟังก็เพราะว่าได้ดูอนิเมชั่นเรื่อง Honey & Clover นี่ล่ะครับ เอาเพลงของวง Spitz มาเป็นเพลงประกอบฉากต่างๆหลายเพลงมากๆ ตอนดูอนิเมไป ก็ได้เพลงที่เอามาประกอบติดหูตามไปด้วย ^ ^"
วง Spitz นั้นฟอร์มวงกันตั้งแต่ปี 1987 ครับ (เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะยังไม่เกิด -*-) และดังมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าดังเป็นพลุจริงๆก็ช่วงปี 1995 นี่ล่ะครับ ซิงเกิ้ล Robinson ในอัลบั้มฮาจิมิทสึนั้นฮิตมากๆช่วงนั้น ต่อมาวง Spitz ก็ยังคงได้รับความนิยมเรื่อยมาจนปัจจุบัน แต่อาจจะไม่มากเท่าสมัยยุคปี 90s ... อัลบั้มล่าสุดที่ปล่อยออกมาก็ตอนปี 2010 ครับ
สำหรับสมาชิกวงก็ได้แก่ ...
- มาซามุเนะ คุซาโนะ (ชื่อเท่เชียว ดาบมาซามุเนะด้วยอ่ะ) เป็นคนร้องนำ เล่นกีต้าร์ แล้วก็เป็นแต่งเพลงในหลายๆเพลงของวงด้วย
- เท็ตสึยะ มิวะ เป็นคนเล่นลีดกีต้าร์
- อากิฮิโระ ทามุระ เล่นเบส
- ทัตสึโอะ ซากิยามะ คนนี้ตีกลองครับ
ว่าแล้วก็ขอเอาเพลงดังมาให้ชมกันก่อนแล้วกัน Spitz - Robinson
เพลงนี้ ชื่อว่า Robinson ดูเผินๆเหมือนกับว่าไปซ้ำกับชื่อห้างสรรพสินค้าในบ้านเรา ... ซึ่งจริงๆชื่อเพลงนี้เห็นเค้าว่ากันว่า(เค้าไหนก็ไม่รู้) บอกว่าชื่อเพลงนี้ก็มาจากห้างโรบินสันประเทศไทยเรานี่เอง ประมาณว่าเคยมาเที่ยวไทย แล้วเค้าไปมีสัมพันธ์(สวาท?)อะไรกับห้างโรบินสันแห่งนี้ก็ไม่รู้อ่ะ เอามาตั้งเป็นชื่อเพลงซะงั้น ... ผมเองก็ไม่รู้จริงหรอกครับ เหอๆๆ
ส่วนเพลงที่ดังๆเพลงอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงในยุค 90s นั่นล่ะครับ เช่น Cherry, Nagisa, Sora mo toberu hazu
แต่เพลงช่วงหลังปี 2000 ที่ผมชอบมากๆก็มีนะ อย่างเช่น Mahō no Kotoba ในปี 2006 นี้ ผมก็ชอบมากๆจ้า ว่าแล้วก็เอาเพลงนี้แหละ มาให้ลองฟังกัน ^ ^
...
ก็หวังว่าจะชอบกันนะครับ แต่คาดว่าถ้าจะมีใครหลงมาในบล็อคผม ส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นแฟนเพลงของวง Spitz กันอยู่แล้วมั้ง เหอๆๆ ^ ^"
แต่หากใครบ่นๆว่าอยากฟังเพลงจากแดนอาทิตย์อุทัยที่เบาๆสบายๆ ติดหูง่ายๆ ป๊อปไม่เลี่ยน ก็อยากจะแนะนำวง Spitz ให้ได้ฟังกันครับ
วงนี้ผมก็ตามๆฟังมาหลายเพลงเลย ชอบแทบจะทุกเพลง ก็เลยอยากจะแนะนำให้คนอื่นลองฟังบ้างก็เท่านั้นเองจ้า
... อืมมม แต่จะว่าไป ... ตอนได้ฟังเพลงของวงนี้ใหม่ๆก็เกือบจะคลั่งไคล้อยู่นะ 555+ ^ ^"
สาเหตุที่ได้ฟังก็เพราะว่าได้ดูอนิเมชั่นเรื่อง Honey & Clover นี่ล่ะครับ เอาเพลงของวง Spitz มาเป็นเพลงประกอบฉากต่างๆหลายเพลงมากๆ ตอนดูอนิเมไป ก็ได้เพลงที่เอามาประกอบติดหูตามไปด้วย ^ ^"
วง Spitz นั้นฟอร์มวงกันตั้งแต่ปี 1987 ครับ (เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะยังไม่เกิด -*-) และดังมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าดังเป็นพลุจริงๆก็ช่วงปี 1995 นี่ล่ะครับ ซิงเกิ้ล Robinson ในอัลบั้มฮาจิมิทสึนั้นฮิตมากๆช่วงนั้น ต่อมาวง Spitz ก็ยังคงได้รับความนิยมเรื่อยมาจนปัจจุบัน แต่อาจจะไม่มากเท่าสมัยยุคปี 90s ... อัลบั้มล่าสุดที่ปล่อยออกมาก็ตอนปี 2010 ครับ
สำหรับสมาชิกวงก็ได้แก่ ...
- มาซามุเนะ คุซาโนะ (ชื่อเท่เชียว ดาบมาซามุเนะด้วยอ่ะ) เป็นคนร้องนำ เล่นกีต้าร์ แล้วก็เป็นแต่งเพลงในหลายๆเพลงของวงด้วย
- เท็ตสึยะ มิวะ เป็นคนเล่นลีดกีต้าร์
- อากิฮิโระ ทามุระ เล่นเบส
- ทัตสึโอะ ซากิยามะ คนนี้ตีกลองครับ
ว่าแล้วก็ขอเอาเพลงดังมาให้ชมกันก่อนแล้วกัน Spitz - Robinson
เพลงนี้ ชื่อว่า Robinson ดูเผินๆเหมือนกับว่าไปซ้ำกับชื่อห้างสรรพสินค้าในบ้านเรา ... ซึ่งจริงๆชื่อเพลงนี้เห็นเค้าว่ากันว่า(เค้าไหนก็ไม่รู้) บอกว่าชื่อเพลงนี้ก็มาจากห้างโรบินสันประเทศไทยเรานี่เอง ประมาณว่าเคยมาเที่ยวไทย แล้วเค้าไปมีสัมพันธ์(สวาท?)อะไรกับห้างโรบินสันแห่งนี้ก็ไม่รู้อ่ะ เอามาตั้งเป็นชื่อเพลงซะงั้น ... ผมเองก็ไม่รู้จริงหรอกครับ เหอๆๆ
ส่วนเพลงที่ดังๆเพลงอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงในยุค 90s นั่นล่ะครับ เช่น Cherry, Nagisa, Sora mo toberu hazu
แต่เพลงช่วงหลังปี 2000 ที่ผมชอบมากๆก็มีนะ อย่างเช่น Mahō no Kotoba ในปี 2006 นี้ ผมก็ชอบมากๆจ้า ว่าแล้วก็เอาเพลงนี้แหละ มาให้ลองฟังกัน ^ ^
...
ก็หวังว่าจะชอบกันนะครับ แต่คาดว่าถ้าจะมีใครหลงมาในบล็อคผม ส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นแฟนเพลงของวง Spitz กันอยู่แล้วมั้ง เหอๆๆ ^ ^"
Epic ภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่นใหม่ น่าชมมั่กๆ!!
มีหนังการ์ตูนอนิเมชั่นใหม่มาแนะนำครับ เห็นว่าน่าสนใจไม่น้อย เลยต้องขอคาบข่าวมาบอกกันหน่อย
ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้มีชื่อว่า Epic - อีพิค
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ที่หลุดไปอยู่กับโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งกำลังมีสงครามระหว่างฝ่ายดีกับฝ่ายร้าย ซึ่งผลกระทบจากการต่อสู้กันนั้น มันก็จะส่งผลกับโลกด้วย ... ฉากแบคกราวน์ ดูเผินๆจะเหมือนกับว่าเป็นกลุ่มคนแคระหรือมนุษย์ตัวจิ๋วที่อยู่ในป่า แล้วก็ทำสงครามกันน่ะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนดังกล่าวที่น่าจะเป็นตัวเอกของเืรื่องนั้น หลุดเข้าไปพัวพัน(แถมกลายเป็นตัวเล็กจิ๋ว)กับเรื่องดังกล่าวได้อย่างไร ... ซึ่งก็ต้องรอชมเท่านั้นครับ
แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ลองชมตัวอย่างหนัง หรือ Trailer ของเรื่อง Epic นี้กันก่อนดีกว่าครับ ^ ^
น่าดูมากๆเลยว่าไหมครับ ผมรู้สึกถึงกลิ่นอายของ Avatar หรือหนังดังอย่างอวตาร จากการ์ตูนเรื่องนี้จัง แต่คงไม่เหมือนกันหรอกครับ เพราะคงไม่มีใครกล้าลอก Avatar แน่ๆ หนังมันดังและโจ่งแจ้งเกินไปที่จะลอก โดยเฉพาะถ้าเป็นแวดวงฮอลลีวูดด้วยกันแล้ว
สำหรับค่ายหนังนั้น เป็นของค่าย 20th Century Fox
มี Chris Wedge เป็นผู้กำกับ ซึ่งทีมผู้สร้างก็จะเป็นทีมเดียวกับเรื่อง Ice Age กับ Rio น่ะครับ
สำหรับวันเวลาเข้าฉายก็คือช่วงเดือนพ.ค. 2013 ครับ อีกนานเหมือนกัน ^ ^"
ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้มีชื่อว่า Epic - อีพิค
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ที่หลุดไปอยู่กับโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งกำลังมีสงครามระหว่างฝ่ายดีกับฝ่ายร้าย ซึ่งผลกระทบจากการต่อสู้กันนั้น มันก็จะส่งผลกับโลกด้วย ... ฉากแบคกราวน์ ดูเผินๆจะเหมือนกับว่าเป็นกลุ่มคนแคระหรือมนุษย์ตัวจิ๋วที่อยู่ในป่า แล้วก็ทำสงครามกันน่ะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนดังกล่าวที่น่าจะเป็นตัวเอกของเืรื่องนั้น หลุดเข้าไปพัวพัน(แถมกลายเป็นตัวเล็กจิ๋ว)กับเรื่องดังกล่าวได้อย่างไร ... ซึ่งก็ต้องรอชมเท่านั้นครับ
แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ลองชมตัวอย่างหนัง หรือ Trailer ของเรื่อง Epic นี้กันก่อนดีกว่าครับ ^ ^
น่าดูมากๆเลยว่าไหมครับ ผมรู้สึกถึงกลิ่นอายของ Avatar หรือหนังดังอย่างอวตาร จากการ์ตูนเรื่องนี้จัง แต่คงไม่เหมือนกันหรอกครับ เพราะคงไม่มีใครกล้าลอก Avatar แน่ๆ หนังมันดังและโจ่งแจ้งเกินไปที่จะลอก โดยเฉพาะถ้าเป็นแวดวงฮอลลีวูดด้วยกันแล้ว
สำหรับค่ายหนังนั้น เป็นของค่าย 20th Century Fox
มี Chris Wedge เป็นผู้กำกับ ซึ่งทีมผู้สร้างก็จะเป็นทีมเดียวกับเรื่อง Ice Age กับ Rio น่ะครับ
สำหรับวันเวลาเข้าฉายก็คือช่วงเดือนพ.ค. 2013 ครับ อีกนานเหมือนกัน ^ ^"
กล้อง DSLR ทุกตัวไม่ได้ถ่ายคนหน้าชัดหลังเบลอได้!!
ตอนนี้เห็นมีตากล้องมือใหม่ๆหลายๆคนถามกันเยอะเลย ว่าเพิ่งซื้อ DSLR มา จะถ่ายคน หรือ Portrait ให้ออกมาหน้าชัดหลังเบลอได้อย่างไร?
หรือซื้อ Mirrorless มา อยากให้ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ ทำอย่างไร
หรือที่ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆก็คือไปซื้อ Canon G1X มา อยากให้ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอทำอย่างไร (เซนเซอร์มันเท่าๆ DSLR นี่นะ ก็เลยคิดว่าต้องหน้าชัดหลังเบลอได้)
...
ขอบอกก่อนเลยครับ ว่าแค่ซื้อ DSLR หรือ Mirrorless มาใช้ (ที่มาพร้อมคู่กับเลนส์คู่ตัว หรือเลนส์คิท) ส่วนใหญ่ถ่าย "คน" ให้ออกมาหน้าชัดหลังเบลอไม่ได้ครับ!! ... "ต้องหาเลนส์ตัวอื่นมาเปลี่ยน" เท่านั้นครับ
บางคนก็อาจจะมาเถียงก็ได้นะ ว่าอ๊ายยยยยยย!! กล้องคอมแพคราคาสองพันยังถ่ายหนังชัดหลังเบลอได้เล้ยยย!! ไปเอาที่ไหนมาพูดกันยะ!!
... ผมก็ไม่ได้บอกว่าถ่ายไม่ได้นะ ลองดูรูปนี้ครับ เป็นคอมแพคราคาสองพัน ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้เช่นกัน
... รูปนี้คือหน้าชัดหลังเบลอจากการถ่ายโคลสอัพ หรือถ่ายในโหมดมาโคร ... จริงๆก็คือ เวลาถ่ายอะไรเล็กๆอย่างดอกไม้ จ่อๆใกล้ๆเนี่ย มันก็พอจะเบลอได้แทบทั้งนั้นล่ะครับ
แต่ประเด็นที่พูดถึงคือ "ถ่ายคน" ให้ออกมาหน้าชัดหลังเบลอ ... ถามหน่อย ว่าถ้าต้องถ่ายจ่อๆแบบนี้ ... คงถ่ายได้แค่ ตา จมูก ... อาจจะไม่พอถ่ายให้เห็นปากได้ด้วยซ้ำ!! *0*
หรือบางคนก็อาจจะบอกว่า DSLR กับเลนส์คิท ถ่ายเบลอได้สิ!! ถ่ายมาแล้ว ไม่เห็นยาก
... ก็ต้องขอถามอีกหน่อย ว่าที่เบลอได้เนี่ย เบลอขนาดไหน?!!
ที่ว่าเบลอนั้น มัน "เบลอสมใจ" หรือไม่? ... และการถ่ายคนให้หน้าชัดหลังเบลอนั้น ส่วนใหญ่เค้าคาดการณ์กันไว้ให้มันเบลอแค่ไหนกันแน่
ลองดูภาพนี้ครับ ...
ถามหน่อย ว่าอยากให้เบลอแบบในรูปไหม? หลังละลาย แสงกลายเป็นเม็ดกลมๆก้อนใหญ่ๆ(ที่เรียกว่าโบเก้)พริ้งเพริศเหลือเกิน!!
ซึ่งส่วนใหญ่ ถ้าจะมาบอกว่า "ถ่ายคน หน้าชัดหลังเบลอ" นั้น ... มันต้องเบลอประมาณนี้ หรือน้อยกว่านี้นิดหน่อยครับ มันต้องพอมีโบเก้บ้าง (แต่อันนี้มันแล้วแต่คนนะครับ สำหรับผมนั้น คำว่าหลังเบลอต้องแบบนี้ ซึ่งถามคนส่วนใหญ่ก็เห็นแบบนี้กันเป็นส่วนมาก)
ถ้าออกมาเบลอแค่เลือนๆ ประหนึ่งภาพหลุดโฟกัสล่ะก็ ... อันนั้นไม่ใช่เบลอแล้วครับ!!
...
อย่างไรก็ตาม ต้องขอย้ำหน่อย ว่าแค่ไหนเรียกว่าเบลอ มันขึ้นกับคนมองครับ
บางคน แค่มันเลือนๆ ก็จัดว่าเบลอได้เช่นกัน ... อันนี้แล้วแต่คนครับ ไม่มีผิดถูก
เพียงแต่ว่า ที่ผมเอามาพูดประหนึ่งชี้ำนำหรือฟันธง ว่าถ่ายแบบนั้นแบบนี้ ไม่ใช่เบลอนั้น
เพราะผมคิดว่า "มือใหม่คาดหวังกับการเบลอละลายถึงใจ" กันเป็นส่วนมากครับ (แต่ก็แค่ความเห็นส่วนตัวนะ อ้างอิงไม่ได้จ้า)
จึงได้ซื้อ DSLR มาใช้โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ... คนแนะนำก็แนะนำใหญ่เลย ว่าซื้อ DSLR สิ ซื้อ Mirrorless สิ หลังเบลอแน่ๆ!! ... โดยไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพิ่มเติมเข้าไปอีก ว่าแท้จริงแล้ว จะให้ถ่ายได้เบลอสะใจนั้น "มันต้องซื้อเลนส์เพิ่ม" ครับ!!
ซึ่งต้องใช้เลนส์อะไรอย่างไรนั้น ขอบอกในโอกาสหน้าอีกที แต่ขอย้ำว่าต้องซื้อเลนส์เพิ่มเท่านั้นครับ ^ ^
...
ที่น่าเห็นใจสุด ก็คือคนที่ซื้อกล้องเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ แต่เซนเซอร์ใหญ่เกือบเท่า DSLR เช่น Canon G1X เพราะคิดว่ามันถ่ายหน้าชัดหลังเบลอมากๆได้ ... แต่จริงๆแล้ว เลนส์ของกล้อง Canon G1X ทำแบบนั้นไม่ได้ครับ ได้แค่เบลอแบบเลือนๆจนดูไม่เหมือนเบลอครับ (แต่ได้ข่าวว่าจะออก tele converter ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน)
ก็ฝากคนที่อยากจะซื้อกล้องเพื่อถ่ายหน้าชัดหลังเบลอนั้น อย่าเพิ่งไปคิดว่าซื้อ DSLR มาปุ๊บ ถ่ายได้ปั๊บเลยนะครับ
ศึกษาข้อมูลและตระเตรียมงบประมาณไว้อีกหน่อยจะดีกว่าจ้า ^ ^
หรือซื้อ Mirrorless มา อยากให้ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ ทำอย่างไร
หรือที่ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆก็คือไปซื้อ Canon G1X มา อยากให้ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอทำอย่างไร (เซนเซอร์มันเท่าๆ DSLR นี่นะ ก็เลยคิดว่าต้องหน้าชัดหลังเบลอได้)
...
ขอบอกก่อนเลยครับ ว่าแค่ซื้อ DSLR หรือ Mirrorless มาใช้ (ที่มาพร้อมคู่กับเลนส์คู่ตัว หรือเลนส์คิท) ส่วนใหญ่ถ่าย "คน" ให้ออกมาหน้าชัดหลังเบลอไม่ได้ครับ!! ... "ต้องหาเลนส์ตัวอื่นมาเปลี่ยน" เท่านั้นครับ
บางคนก็อาจจะมาเถียงก็ได้นะ ว่าอ๊ายยยยยยย!! กล้องคอมแพคราคาสองพันยังถ่ายหนังชัดหลังเบลอได้เล้ยยย!! ไปเอาที่ไหนมาพูดกันยะ!!
... ผมก็ไม่ได้บอกว่าถ่ายไม่ได้นะ ลองดูรูปนี้ครับ เป็นคอมแพคราคาสองพัน ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้เช่นกัน
... รูปนี้คือหน้าชัดหลังเบลอจากการถ่ายโคลสอัพ หรือถ่ายในโหมดมาโคร ... จริงๆก็คือ เวลาถ่ายอะไรเล็กๆอย่างดอกไม้ จ่อๆใกล้ๆเนี่ย มันก็พอจะเบลอได้แทบทั้งนั้นล่ะครับ
แต่ประเด็นที่พูดถึงคือ "ถ่ายคน" ให้ออกมาหน้าชัดหลังเบลอ ... ถามหน่อย ว่าถ้าต้องถ่ายจ่อๆแบบนี้ ... คงถ่ายได้แค่ ตา จมูก ... อาจจะไม่พอถ่ายให้เห็นปากได้ด้วยซ้ำ!! *0*
หรือบางคนก็อาจจะบอกว่า DSLR กับเลนส์คิท ถ่ายเบลอได้สิ!! ถ่ายมาแล้ว ไม่เห็นยาก
... ก็ต้องขอถามอีกหน่อย ว่าที่เบลอได้เนี่ย เบลอขนาดไหน?!!
ที่ว่าเบลอนั้น มัน "เบลอสมใจ" หรือไม่? ... และการถ่ายคนให้หน้าชัดหลังเบลอนั้น ส่วนใหญ่เค้าคาดการณ์กันไว้ให้มันเบลอแค่ไหนกันแน่
ลองดูภาพนี้ครับ ...
Author : Chokity
ถามหน่อย ว่าอยากให้เบลอแบบในรูปไหม? หลังละลาย แสงกลายเป็นเม็ดกลมๆก้อนใหญ่ๆ(ที่เรียกว่าโบเก้)พริ้งเพริศเหลือเกิน!!
ซึ่งส่วนใหญ่ ถ้าจะมาบอกว่า "ถ่ายคน หน้าชัดหลังเบลอ" นั้น ... มันต้องเบลอประมาณนี้ หรือน้อยกว่านี้นิดหน่อยครับ มันต้องพอมีโบเก้บ้าง (แต่อันนี้มันแล้วแต่คนนะครับ สำหรับผมนั้น คำว่าหลังเบลอต้องแบบนี้ ซึ่งถามคนส่วนใหญ่ก็เห็นแบบนี้กันเป็นส่วนมาก)
ถ้าออกมาเบลอแค่เลือนๆ ประหนึ่งภาพหลุดโฟกัสล่ะก็ ... อันนั้นไม่ใช่เบลอแล้วครับ!!
...
อย่างไรก็ตาม ต้องขอย้ำหน่อย ว่าแค่ไหนเรียกว่าเบลอ มันขึ้นกับคนมองครับ
บางคน แค่มันเลือนๆ ก็จัดว่าเบลอได้เช่นกัน ... อันนี้แล้วแต่คนครับ ไม่มีผิดถูก
เพียงแต่ว่า ที่ผมเอามาพูดประหนึ่งชี้ำนำหรือฟันธง ว่าถ่ายแบบนั้นแบบนี้ ไม่ใช่เบลอนั้น
เพราะผมคิดว่า "มือใหม่คาดหวังกับการเบลอละลายถึงใจ" กันเป็นส่วนมากครับ (แต่ก็แค่ความเห็นส่วนตัวนะ อ้างอิงไม่ได้จ้า)
จึงได้ซื้อ DSLR มาใช้โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ... คนแนะนำก็แนะนำใหญ่เลย ว่าซื้อ DSLR สิ ซื้อ Mirrorless สิ หลังเบลอแน่ๆ!! ... โดยไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพิ่มเติมเข้าไปอีก ว่าแท้จริงแล้ว จะให้ถ่ายได้เบลอสะใจนั้น "มันต้องซื้อเลนส์เพิ่ม" ครับ!!
ซึ่งต้องใช้เลนส์อะไรอย่างไรนั้น ขอบอกในโอกาสหน้าอีกที แต่ขอย้ำว่าต้องซื้อเลนส์เพิ่มเท่านั้นครับ ^ ^
...
ที่น่าเห็นใจสุด ก็คือคนที่ซื้อกล้องเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ แต่เซนเซอร์ใหญ่เกือบเท่า DSLR เช่น Canon G1X เพราะคิดว่ามันถ่ายหน้าชัดหลังเบลอมากๆได้ ... แต่จริงๆแล้ว เลนส์ของกล้อง Canon G1X ทำแบบนั้นไม่ได้ครับ ได้แค่เบลอแบบเลือนๆจนดูไม่เหมือนเบลอครับ (แต่ได้ข่าวว่าจะออก tele converter ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน)
ก็ฝากคนที่อยากจะซื้อกล้องเพื่อถ่ายหน้าชัดหลังเบลอนั้น อย่าเพิ่งไปคิดว่าซื้อ DSLR มาปุ๊บ ถ่ายได้ปั๊บเลยนะครับ
ศึกษาข้อมูลและตระเตรียมงบประมาณไว้อีกหน่อยจะดีกว่าจ้า ^ ^
รีวิว ร้านกาแฟนครสวรรค์ Coffee Deluxe - คอฟฟี่ดีลักซ์
สำหรับคนนครสวรรค์ที่ชอบทานกาแฟ ก็ขอพาไปชมกับร้านกาแฟอีกแห่งที่นครสวรรค์กันหน่อย
ร้านนี้ชื่อว่า Coffee Deluxe - คอฟฟี่ ดีลักซ์ น่ะครับ เป็นร้านที่อยู่บนถนนสวรรค์วิถี หากมาจากทางสี่แยกสะพานเดชา ก็จะอยู่ซ้ายมือ ขับเลยโรงแรมอารามิสไปนิดหน่อยครับ ^ ^
นอกจากเมนูกาแฟ ชา น้ำปั่นอะไรต่างๆแล้ว ก็มีไอศกรีมขายด้วยนะครับ แต่ไม่ได้ลองชิม ^ ^"
หน้าร้าน Coffee Deluxe ก็ประมาณนี้ครับ
พอเข้าไปในร้าน ก็จะเจอรูปแบบการตกแต่งแบบเรียบง่ายสวยงามในสไตล์แอบแฝงความคลาสสิกแบบ vintage
อันนี้อีกมุมนึงครับ ^ ^
กาแฟที่ร้านนี้มีให้เลือกสองแบบด้วยนะครับ มีกาแฟไทย กับกาแฟอเมริกา เลือกได้ว่าจะเอากาแฟจากที่ไหน (แต่ส่วนตัวผมแล้ว ออกแนวลิ้นจระเข้ กาแฟอะไรก็อร่อยถ้าไม่ใช่กาแฟซองล่ะก็นะ ^ ^")
สำหรับเมนูที่ผมสั่ง เป็นกาแฟเย็นลาเต้ธรรมดาๆ ... ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ก็คือ เหมาะสำหรับคนที่ชอบปรุงแต่งความหวานด้วยตนเองครับ ว่าจะให้หวานน้อยหวานมาก หรือไม่ค่อยจะหวานเลย ก็ตามแต่ใจต้องการ เพราะเค้าจะมีถ้วยน้ำหวานปรุงรสแยกมาให้ต่างหากครับ ตามรูปเลยครับ ^ ^
... ส่วนคุณแฟน รอบนี้มาแปลก สั่งอะไรไม่รู้จำชื่อไม่ได้ ประมาณๆว่าโยเกิร์ทๆสตรอเบอร์รี่ๆ (ปกติสั่งชอคโกหรือโกโก้)
สาเหตุที่สั่งเมนูนี้ พอจะนึกออก 555+
แต่ผลปรากฎว่า แก้วนี้ก็อร่อยถูกใจคุณแฟนดีครับ กินคนเดียวเรียบเลย ^ ^
เอาแก้วมาวางคู่กันหน่อย
ลืมบอกไปหน่อย ว่าก่อนกาแฟมาถึง เค้าก็มีน้ำชาเย็นๆมาเสิร์ฟก่อนด้วยล่ะครับ ^ ^
ก็แนะนำครับ จะซื้อกลับไปเลยหรือจะนั่งจิบเล่นๆชิวๆในร้าน ก็โอเคครับ สำหรับร้านกาแฟ Coffee Deluxe แห่งนี้
ปล. สำหรับคำว่า Deluxe (ดีลักซ์) นั้น คุณแฟนถามอยู่เหมือนกัน ว่าอ่านว่าไงกันแน่ เพราะเคยได้ยิน เดอลุกซ์อยู่เหมือนกัน
ตอนนั้นผมก็ตอบไปว่า "อ่านได้สองแบบแหละมั้ง" แต่ไม่ได้ขยายความให้ชัดเจน เพราะไม่ชัวร์เท่าไหร่ แต่ก็คิดว่า เดอลุกซ์คือการอ่านแบบฝรั่งเศส ส่วนดีลักซ์ ก็คืออ่านแบบภาษาอังกฤษนั่นเอง ... แต่ไม่แน่ใจเพราะผมไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสเลย
... ซึ่งจากการค้นหาคำตอบ ก็ตามที่คิดนั่นล่ะครับ ดีลักซ์ = อังกฤษ, เดอลุกซ์ = ฝรั่งเศส ^ ^
ร้านนี้ชื่อว่า Coffee Deluxe - คอฟฟี่ ดีลักซ์ น่ะครับ เป็นร้านที่อยู่บนถนนสวรรค์วิถี หากมาจากทางสี่แยกสะพานเดชา ก็จะอยู่ซ้ายมือ ขับเลยโรงแรมอารามิสไปนิดหน่อยครับ ^ ^
นอกจากเมนูกาแฟ ชา น้ำปั่นอะไรต่างๆแล้ว ก็มีไอศกรีมขายด้วยนะครับ แต่ไม่ได้ลองชิม ^ ^"
หน้าร้าน Coffee Deluxe ก็ประมาณนี้ครับ
พอเข้าไปในร้าน ก็จะเจอรูปแบบการตกแต่งแบบเรียบง่ายสวยงามในสไตล์แอบแฝงความคลาสสิกแบบ vintage
อันนี้อีกมุมนึงครับ ^ ^
กาแฟที่ร้านนี้มีให้เลือกสองแบบด้วยนะครับ มีกาแฟไทย กับกาแฟอเมริกา เลือกได้ว่าจะเอากาแฟจากที่ไหน (แต่ส่วนตัวผมแล้ว ออกแนวลิ้นจระเข้ กาแฟอะไรก็อร่อยถ้าไม่ใช่กาแฟซองล่ะก็นะ ^ ^")
สำหรับเมนูที่ผมสั่ง เป็นกาแฟเย็นลาเต้ธรรมดาๆ ... ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ก็คือ เหมาะสำหรับคนที่ชอบปรุงแต่งความหวานด้วยตนเองครับ ว่าจะให้หวานน้อยหวานมาก หรือไม่ค่อยจะหวานเลย ก็ตามแต่ใจต้องการ เพราะเค้าจะมีถ้วยน้ำหวานปรุงรสแยกมาให้ต่างหากครับ ตามรูปเลยครับ ^ ^
... ส่วนคุณแฟน รอบนี้มาแปลก สั่งอะไรไม่รู้จำชื่อไม่ได้ ประมาณๆว่าโยเกิร์ทๆสตรอเบอร์รี่ๆ (ปกติสั่งชอคโกหรือโกโก้)
สาเหตุที่สั่งเมนูนี้ พอจะนึกออก 555+
แต่ผลปรากฎว่า แก้วนี้ก็อร่อยถูกใจคุณแฟนดีครับ กินคนเดียวเรียบเลย ^ ^
เอาแก้วมาวางคู่กันหน่อย
ลืมบอกไปหน่อย ว่าก่อนกาแฟมาถึง เค้าก็มีน้ำชาเย็นๆมาเสิร์ฟก่อนด้วยล่ะครับ ^ ^
ก็แนะนำครับ จะซื้อกลับไปเลยหรือจะนั่งจิบเล่นๆชิวๆในร้าน ก็โอเคครับ สำหรับร้านกาแฟ Coffee Deluxe แห่งนี้
ปล. สำหรับคำว่า Deluxe (ดีลักซ์) นั้น คุณแฟนถามอยู่เหมือนกัน ว่าอ่านว่าไงกันแน่ เพราะเคยได้ยิน เดอลุกซ์อยู่เหมือนกัน
ตอนนั้นผมก็ตอบไปว่า "อ่านได้สองแบบแหละมั้ง" แต่ไม่ได้ขยายความให้ชัดเจน เพราะไม่ชัวร์เท่าไหร่ แต่ก็คิดว่า เดอลุกซ์คือการอ่านแบบฝรั่งเศส ส่วนดีลักซ์ ก็คืออ่านแบบภาษาอังกฤษนั่นเอง ... แต่ไม่แน่ใจเพราะผมไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสเลย
... ซึ่งจากการค้นหาคำตอบ ก็ตามที่คิดนั่นล่ะครับ ดีลักซ์ = อังกฤษ, เดอลุกซ์ = ฝรั่งเศส ^ ^
Foto Hotel โรงแรมใหม่ มีสไตล์ ที่หาดกะตะ ภูเก็ต ^ ^
Foto Hotel, Kata, Phuket เป็นโรงแรมเตรียมเปิดใหม่ ที่หาดกะตะ ภูเก็ตครับ
สำหรับชื่อของโรงแรมก็เห็นกันอยู่แล้วนะครับ ว่า Foto ... เห็นชื่อแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของคงจะชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นแน่แท้ เลยตั้งชื่อรีสอร์ทแบบนี้ (หากอ่านนิยามและแนวคิดการทำโรงแรมของ Foto Hotel ทาง facebook ก็จะเห็นชัดเลยครับ ^ ^)
พอดูตัวรีสอร์ทเข้าไปก็พบว่า ห้องพักก็ยิ่งน่าสนใจมากๆเช่นกัน ... ทั้งๆที่โรงแรมนี้ยังสร้างไม่เสร็จนะครับ!! เห็นว่าจะเปิดให้บริการจริงๆก็เดือนต.ค. 2012 โน่นแน่ะครับ ... แต่รูปห้องพักบางส่วน ก็ดึงดูดใจมากๆเข้าให้แล้ว!!
ลองดูภาพอันน้อยนิดทาง facebook ของ Foto Hotel กันหน่อยครับ ... ถ้าโรงแรมเปิดเต็มๆตัวเมื่อไหร่ คงจะมีห้องและมุมที่หรูหรากว่านี้โผล่มาแน่ๆ
เริ่มด้วยรูปห้องพักครับ ... ที่นี่เค้าทำโทนเทาดำ จากหลักการของการถ่ายภาพด้วยครับ ... ซึ่งอันนี้ไม่ขออธิบายรายละเอียดแล้วกันจ้า ... แต่เอาเป็นว่า ออกมา "สวย" ก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ ^ ^
จากตัวห้องพัก มองไปทางปลายเตียง ... โอ้ววว มีระเบียงให้ด้วย ท่าทางจะสวย
พอไปดูระเบียงใกล้ๆทางฝั่งขวา ก็จะเจอโซฟาแนวๆน่านั่งแบบนี้ ... ว่าแล้วก็หันไปทางซ้ายสิ จะมีอะไรหนอ?
หืมมม!! มีอ่างให้ด้วย? จากุซซี่ป่าวเนี่ย!! จะนอนแช่อ่างหรือจะนั่งเล่นบนโซฟา ก็ได้อารมณ์ชมวิวด้วยกันทั้งนั้นครับ เจ๋งไปเลย!!
ถ้าได้นอนแช่อ่างน้ำพร้อมๆกับวิวแบบนี้ คงจะมีความสุขเนอะ ^ ^
...
ครับ รูปที่เห็นทั้งหมดนี้ ผมก็นำมาจากทาง facebook ของ Foto Hotel นะครับ ตามไปดูได้ที่ http://www.facebook.com/fotohotel ครับผม ... ขอบอกว่ารูปที่เห็นนี้ น่าจะเป็นรูปจากห้องพักแค่แบบเดียวของที่นี่เองมั้งครับ ถ้าโรงแรมเสร็จเมื่อไหร่ ต้องมีห้องหรูๆเจ๋งๆเด็ดๆกว่านี้มาให้ชมกันแน่ๆ
ใครมีโปรแกรมจะไปภูเก็ตหลังเดือนต.ค. 2012 ก็อย่าลืมบรรจุ Foto Hotel เอาไว้ในลิสต์โรงแรมที่จะเลือกไปพักด้วยล่ะครับ ^ ^ มาเห็นทีหลังจะเสียดายเอานา~~ ^ ^
สำหรับชื่อของโรงแรมก็เห็นกันอยู่แล้วนะครับ ว่า Foto ... เห็นชื่อแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของคงจะชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นแน่แท้ เลยตั้งชื่อรีสอร์ทแบบนี้ (หากอ่านนิยามและแนวคิดการทำโรงแรมของ Foto Hotel ทาง facebook ก็จะเห็นชัดเลยครับ ^ ^)
พอดูตัวรีสอร์ทเข้าไปก็พบว่า ห้องพักก็ยิ่งน่าสนใจมากๆเช่นกัน ... ทั้งๆที่โรงแรมนี้ยังสร้างไม่เสร็จนะครับ!! เห็นว่าจะเปิดให้บริการจริงๆก็เดือนต.ค. 2012 โน่นแน่ะครับ ... แต่รูปห้องพักบางส่วน ก็ดึงดูดใจมากๆเข้าให้แล้ว!!
ลองดูภาพอันน้อยนิดทาง facebook ของ Foto Hotel กันหน่อยครับ ... ถ้าโรงแรมเปิดเต็มๆตัวเมื่อไหร่ คงจะมีห้องและมุมที่หรูหรากว่านี้โผล่มาแน่ๆ
เริ่มด้วยรูปห้องพักครับ ... ที่นี่เค้าทำโทนเทาดำ จากหลักการของการถ่ายภาพด้วยครับ ... ซึ่งอันนี้ไม่ขออธิบายรายละเอียดแล้วกันจ้า ... แต่เอาเป็นว่า ออกมา "สวย" ก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ ^ ^
จากตัวห้องพัก มองไปทางปลายเตียง ... โอ้ววว มีระเบียงให้ด้วย ท่าทางจะสวย
พอไปดูระเบียงใกล้ๆทางฝั่งขวา ก็จะเจอโซฟาแนวๆน่านั่งแบบนี้ ... ว่าแล้วก็หันไปทางซ้ายสิ จะมีอะไรหนอ?
หืมมม!! มีอ่างให้ด้วย? จากุซซี่ป่าวเนี่ย!! จะนอนแช่อ่างหรือจะนั่งเล่นบนโซฟา ก็ได้อารมณ์ชมวิวด้วยกันทั้งนั้นครับ เจ๋งไปเลย!!
ถ้าได้นอนแช่อ่างน้ำพร้อมๆกับวิวแบบนี้ คงจะมีความสุขเนอะ ^ ^
...
ครับ รูปที่เห็นทั้งหมดนี้ ผมก็นำมาจากทาง facebook ของ Foto Hotel นะครับ ตามไปดูได้ที่ http://www.facebook.com/fotohotel ครับผม ... ขอบอกว่ารูปที่เห็นนี้ น่าจะเป็นรูปจากห้องพักแค่แบบเดียวของที่นี่เองมั้งครับ ถ้าโรงแรมเสร็จเมื่อไหร่ ต้องมีห้องหรูๆเจ๋งๆเด็ดๆกว่านี้มาให้ชมกันแน่ๆ
ใครมีโปรแกรมจะไปภูเก็ตหลังเดือนต.ค. 2012 ก็อย่าลืมบรรจุ Foto Hotel เอาไว้ในลิสต์โรงแรมที่จะเลือกไปพักด้วยล่ะครับ ^ ^ มาเห็นทีหลังจะเสียดายเอานา~~ ^ ^
Thai Regional Airlines ขึ้นเครื่องบินไปหัวหินกันเถอะ!!
Thai Regional Airlines ชื่อของสายการบินนี้ ผมก็เพิ่งได้ยินนี่แหละครับ ... ก็เลยสนใจหน่อย ว่าจะมีเส้นทางใหม่ๆบ้างหรือเปล่าน้า~~ ก็ดูข้อมูลของสายการบินนี้จากหน้าเวบซะหน่อย แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอกครับ
... ปรากฎว่ามีเส้นทางน่าสนๆด้วยครับ เช่น กทม. - โคราช หรือนครราชสีมา แล้วก็ กทม. - บุรีรัมย์ด้วย เข้าท่าดีครับ
แต่อ๊ะ!! ... ที่นี่มีเที่ยวบิน กรุงเทพฯ - หัวหิน อยู่ด้วย!! โอ้ววว เจ๋งไปเลย!! ^ ^
ดูตามรูปโฆษณาของทางหน้าเวบ Thai Regional Airlines ก่อนเลยครับ กับ Bangkok - Hua Hin Flight หุหุหุ
ดูคำโปรยเค้าสิครับ "ถูกกว่าแทกซี่" แสดงว่ากะจะเจาะลูกค้าต่างชาติแน่ๆ เพราะฝรั่งนั้น หลายๆส่วนก็จัดหนัก ไม่ค่อยศึกษาเส้นทาง ขอสบายเข้าว่าด้วยการจ้างแทกซี่ให้ขับพาไปซะไกลอยู่บ่อยๆ ^ ^"
ซึ่งก็น่าสนใจดีครับ ราคาต่อเที่ยวก็ 1,700 บาท ถูกกว่าแทกซี่จริงๆล่ะมั้ง
จะว่าไป หากพูดถึงหัวหินแล้ว ยังจัดว่าไม่ดังมากสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากนัก สังเกตว่าไปเที่ยวแล้วก็เจอแต่คนไทยนี่แหละ ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น มักจะไปพัทยา สมุย ภูเก็ต ซะมากกว่า ... การเพิ่มตัวเลือกเดินทาง ก็อาจจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไปที่หัวหินได้เพิ่มบ้างเหมือนกัน
แต่สำหรับคนไทยแล้ว จากกทม.มาหัวหิน ขับรถ 3 ชม. (ขับแบบชิวๆด้วยนะ) ได้เอารถไปใช้เที่ยวโน่นนี่นั่นในหัวหิน
หรือนั่งรถตู้ ร้อยกว่าบาทเกือบสองร้อย
... ยากมากที่คนไทยจะมาใช้บริการที่นี่ -*-
...
อย่างไรก็ตาม ผมก็ว่าต้องยังมีกลุ่มลูกค้าทุนหนา ที่ต้องการความรวดเร็วในการเดินทาง หรือขี้เกียจขับรถเอง ไม่ชอบนั่งรถตู้ ยอมจ่าย 1,700 บาทไปหัวหินอยู่บ้างก็ได้ ^ ^
นอกจากนั้น เค้ายังมีบริการรถส่งจากสนามบินไปยังตัวเมืองหัวหินด้วยนะครับ ก็ถือว่าน่าจะสะดวกสบายจริงๆล่ะ ถ้าใช้บริการที่นี่
...
แต่ส่วนตัวยังมองว่า กทม. - หัวหิน ใกล้เกินไป ... ถ้าเปิดเส้นทาง หัวหิน - ภูเก็ต หรือ หัวหิน - เชียงใหม่ จะน่าสนใจกว่านี้อีกครับ
แต่ก็เอาเถอะน่า มีบริการให้ใช้เป็นทางเลือกใหม่ๆแบบนี้ก็จัดว่าดีมากๆแล้วจ้า ^ ^
อย่างน้อยเส้นทางโคราชกับบุรีรัมย์ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน
สนใจก็ตามดูข้อมูลของ Thai Regional Airlines ได้ที่เวบไซต์ http://www.thairegionalairlines.com ได้เลยครับ ^ ^
... ปรากฎว่ามีเส้นทางน่าสนๆด้วยครับ เช่น กทม. - โคราช หรือนครราชสีมา แล้วก็ กทม. - บุรีรัมย์ด้วย เข้าท่าดีครับ
แต่อ๊ะ!! ... ที่นี่มีเที่ยวบิน กรุงเทพฯ - หัวหิน อยู่ด้วย!! โอ้ววว เจ๋งไปเลย!! ^ ^
ดูตามรูปโฆษณาของทางหน้าเวบ Thai Regional Airlines ก่อนเลยครับ กับ Bangkok - Hua Hin Flight หุหุหุ
ดูคำโปรยเค้าสิครับ "ถูกกว่าแทกซี่" แสดงว่ากะจะเจาะลูกค้าต่างชาติแน่ๆ เพราะฝรั่งนั้น หลายๆส่วนก็จัดหนัก ไม่ค่อยศึกษาเส้นทาง ขอสบายเข้าว่าด้วยการจ้างแทกซี่ให้ขับพาไปซะไกลอยู่บ่อยๆ ^ ^"
ซึ่งก็น่าสนใจดีครับ ราคาต่อเที่ยวก็ 1,700 บาท ถูกกว่าแทกซี่จริงๆล่ะมั้ง
จะว่าไป หากพูดถึงหัวหินแล้ว ยังจัดว่าไม่ดังมากสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากนัก สังเกตว่าไปเที่ยวแล้วก็เจอแต่คนไทยนี่แหละ ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น มักจะไปพัทยา สมุย ภูเก็ต ซะมากกว่า ... การเพิ่มตัวเลือกเดินทาง ก็อาจจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไปที่หัวหินได้เพิ่มบ้างเหมือนกัน
แต่สำหรับคนไทยแล้ว จากกทม.มาหัวหิน ขับรถ 3 ชม. (ขับแบบชิวๆด้วยนะ) ได้เอารถไปใช้เที่ยวโน่นนี่นั่นในหัวหิน
หรือนั่งรถตู้ ร้อยกว่าบาทเกือบสองร้อย
... ยากมากที่คนไทยจะมาใช้บริการที่นี่ -*-
...
อย่างไรก็ตาม ผมก็ว่าต้องยังมีกลุ่มลูกค้าทุนหนา ที่ต้องการความรวดเร็วในการเดินทาง หรือขี้เกียจขับรถเอง ไม่ชอบนั่งรถตู้ ยอมจ่าย 1,700 บาทไปหัวหินอยู่บ้างก็ได้ ^ ^
นอกจากนั้น เค้ายังมีบริการรถส่งจากสนามบินไปยังตัวเมืองหัวหินด้วยนะครับ ก็ถือว่าน่าจะสะดวกสบายจริงๆล่ะ ถ้าใช้บริการที่นี่
...
แต่ส่วนตัวยังมองว่า กทม. - หัวหิน ใกล้เกินไป ... ถ้าเปิดเส้นทาง หัวหิน - ภูเก็ต หรือ หัวหิน - เชียงใหม่ จะน่าสนใจกว่านี้อีกครับ
แต่ก็เอาเถอะน่า มีบริการให้ใช้เป็นทางเลือกใหม่ๆแบบนี้ก็จัดว่าดีมากๆแล้วจ้า ^ ^
อย่างน้อยเส้นทางโคราชกับบุรีรัมย์ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน
สนใจก็ตามดูข้อมูลของ Thai Regional Airlines ได้ที่เวบไซต์ http://www.thairegionalairlines.com ได้เลยครับ ^ ^
ชัดตื้น ชัดลึก คืออะไร? มาทำความเข้าใจที่ถูกต้องกันดีกว่า ^ ^
เพิ่งนึกได้น่ะครับ เลยอยากเขียน
เคยสนทนากับรุ่นน้องคนนึง แกออกแนวเล่นๆกล้องหน่อย ใช้ DSLR
แล้วก็พูดถึงเรื่อง ชัดตื้น ชัดลึก ... ปรากฎว่า น้องแกมีความเข้าใจที่ผิดอยู่กับคำว่าชัดตื้นกับชัดลึก
ผมก็ชี้แจงๆไป ... น้องแกก็เถียงว่าตนเองเข้าใจถูกแล้ว แล้วก็ให้ไปดูในเวบไซต์เวบหนึ่ง ... แว้กกกก!! เวบบางเวบก็เข้าใจผิดด้วยอ่ะ!!
ก็เลยขอเขียนบทความเรื่องชัดตื้น ชัดลึก ที่ถูกต้องหน่อยน่ะครับ จะได้ไม่เข้าใจกันผิด
...
ก่อนอื่นก็ขอเอ่ยถึงความเข้าใจผิดของคำว่าชัดตื้นชัดลึกที่พบบ่อยๆกันก่อนแล้วกันครับ
มีหลายคน ตีความแบบนี้ครับ
- ชัดตื้น = หน้าชัด หลังเบลอ
- ชัดลึก = หน้าเบลอ หลังชัด
... ซึ่ง "ผิดถนัด" !!!
แท้จริงแล้ว คำว่าชัดตื้นนั้น หมายความว่ามีช่วงที่ชัดที่สั้นมากๆ หรือเรียกได้ว่า มี Depth of Filed ที่สั้นมากๆนั่นเอง (ลองเสิร์ชหาคำว่า Depth of Field อ่านได้อีกทีครับ)
ดังนั้น ไม่ว่าจะ หน้าชัดหลังเบลอ, หน้าเบลอหลังชัด, หน้าเบลอหลังเบลอแต่กลางดันชัด
ทั้งหมดนี้ คือ "ชัดตื้น" ทั้งหมดครับ ... พูดง่ายๆคือมีช่วงที่มันชัดตื้นเขินมากๆ แต่ช่วงชัดนั้น มันจะไปอยู่ข้างหน้า ข้างหลัง หรือตรงกลาง ก็เรื่องของมันครับ ^ ^
ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองดูรูปอธิบายนี้ครับ เป็นรูปเปรียบเทียบ โดยใช้วัตถุทรงกลมสีดำ เรียงจากใกล้กล้องไปจนไกลกล้อง
โดยภาพที่ 1.1 - 1.3 ถือเป็นภาพชัดตื้นทั้งหมด!!
1. ภาพชัดตื้น
1.1 ชัดตื้นประเภท หน้าชัด หลังเบลอ
1.2 ชัดตื้นประเภท หน้าเบลอ หลังชัด
1.3 ชัดตื้นประเภท หน้าเบลอหลังเบลอ แต่กลางๆ(หรือจะค่อนไปทางข้างหน้าหรือหลังก็แล้วแต่) ดันชัด
จากภาพทั้ง 3 ภาพที่อธิบายไปนี้ ก็คาดว่าหลายๆคนคงจะเข้าใจบ้างแล้ว ว่าชัดตื้น จริงๆแล้วคือภาพแนวไหนบ้าง
ลองดูภาพทั้งสองภาพนี้ครับ
... ตอนนี้คงตอบได้แล้วนะครับ ว่าทั้งสองรูปที่เห็นด้านบนนี้ คือรูปชัดตื้นทั้งสองรูป!!
เพียงแต่จุดที่ชัด มันคนละจุดกันเท่านั้นเอง ภาพบนจุดที่ชัดอยู่ที่วัตถุด้านหน้า ส่วนภาพล่าง จุดที่ชัดคือวัตถุด้านหลัง
จากนั้น ลองมาดูรูปแบบของ ภาพชัดลึกกันบ้างครับ
ชัดลึกก็คือ มันชัดแทบจะทั้งหมดของภาพเลยครับ ไม่ว่าจะวัตถุที่ใกล้กล้องหรือไกลกล้อง มันก็ชัดไปซะทั้งหมด
บางทีก็อาจจะมีบางช่วงที่ไม่ชัด แต่ช่วงที่ชัดมันยาวววเยอะมากๆ ก็จัดว่าเป็นชัดลึกเช่นกัน ลองดูรูปประกอบสองรูปนี้ครับ
2. ภาพชัดลึก
2.1 ชัดลึกประเภท ชัดแทบจะทั้งภาพ หาเบลอไม่เจอ
2.1 ชัดลึกประเภท มีเบลอบ้าง แต่ช่วงส่วนใหญ่ชัด
... สำหรับชัดลึก ก็ดูไม่ยากครับ ถ้าภาพมันไม่ค่อยมีอะไรที่มันเบลอชัดเจนมากมายนัก หรือชัดทั้งภาพ มันก็คือชัดลึกนั่นเอง
ลองดูรูปด้านล่างนี้ครับ
จะเห็นว่าสุนัขตัวแรกสุดเบลอนิดๆจนสังเกตไม่เห็นเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ทั้งภาพคมชัดหมด ... แบบนี้ก็คือชัดลึกนั่นเองครับ ^ ^
ก็หวังว่าข้อมูลนี้ จะพอเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
ยังไงอยากรู้รายละเอียดลึกๆ ก็ลองหาบทความเกี่ยวกับ Depth of Field อ่านดูครับ ^ ^
เคยสนทนากับรุ่นน้องคนนึง แกออกแนวเล่นๆกล้องหน่อย ใช้ DSLR
แล้วก็พูดถึงเรื่อง ชัดตื้น ชัดลึก ... ปรากฎว่า น้องแกมีความเข้าใจที่ผิดอยู่กับคำว่าชัดตื้นกับชัดลึก
ผมก็ชี้แจงๆไป ... น้องแกก็เถียงว่าตนเองเข้าใจถูกแล้ว แล้วก็ให้ไปดูในเวบไซต์เวบหนึ่ง ... แว้กกกก!! เวบบางเวบก็เข้าใจผิดด้วยอ่ะ!!
ก็เลยขอเขียนบทความเรื่องชัดตื้น ชัดลึก ที่ถูกต้องหน่อยน่ะครับ จะได้ไม่เข้าใจกันผิด
...
ก่อนอื่นก็ขอเอ่ยถึงความเข้าใจผิดของคำว่าชัดตื้นชัดลึกที่พบบ่อยๆกันก่อนแล้วกันครับ
มีหลายคน ตีความแบบนี้ครับ
- ชัดตื้น = หน้าชัด หลังเบลอ
- ชัดลึก = หน้าเบลอ หลังชัด
... ซึ่ง "ผิดถนัด" !!!
แท้จริงแล้ว คำว่าชัดตื้นนั้น หมายความว่ามีช่วงที่ชัดที่สั้นมากๆ หรือเรียกได้ว่า มี Depth of Filed ที่สั้นมากๆนั่นเอง (ลองเสิร์ชหาคำว่า Depth of Field อ่านได้อีกทีครับ)
ดังนั้น ไม่ว่าจะ หน้าชัดหลังเบลอ, หน้าเบลอหลังชัด, หน้าเบลอหลังเบลอแต่กลางดันชัด
ทั้งหมดนี้ คือ "ชัดตื้น" ทั้งหมดครับ ... พูดง่ายๆคือมีช่วงที่มันชัดตื้นเขินมากๆ แต่ช่วงชัดนั้น มันจะไปอยู่ข้างหน้า ข้างหลัง หรือตรงกลาง ก็เรื่องของมันครับ ^ ^
ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองดูรูปอธิบายนี้ครับ เป็นรูปเปรียบเทียบ โดยใช้วัตถุทรงกลมสีดำ เรียงจากใกล้กล้องไปจนไกลกล้อง
โดยภาพที่ 1.1 - 1.3 ถือเป็นภาพชัดตื้นทั้งหมด!!
1. ภาพชัดตื้น
1.1 ชัดตื้นประเภท หน้าชัด หลังเบลอ
1.2 ชัดตื้นประเภท หน้าเบลอ หลังชัด
1.3 ชัดตื้นประเภท หน้าเบลอหลังเบลอ แต่กลางๆ(หรือจะค่อนไปทางข้างหน้าหรือหลังก็แล้วแต่) ดันชัด
จากภาพทั้ง 3 ภาพที่อธิบายไปนี้ ก็คาดว่าหลายๆคนคงจะเข้าใจบ้างแล้ว ว่าชัดตื้น จริงๆแล้วคือภาพแนวไหนบ้าง
ลองดูภาพทั้งสองภาพนี้ครับ
... ตอนนี้คงตอบได้แล้วนะครับ ว่าทั้งสองรูปที่เห็นด้านบนนี้ คือรูปชัดตื้นทั้งสองรูป!!
เพียงแต่จุดที่ชัด มันคนละจุดกันเท่านั้นเอง ภาพบนจุดที่ชัดอยู่ที่วัตถุด้านหน้า ส่วนภาพล่าง จุดที่ชัดคือวัตถุด้านหลัง
จากนั้น ลองมาดูรูปแบบของ ภาพชัดลึกกันบ้างครับ
ชัดลึกก็คือ มันชัดแทบจะทั้งหมดของภาพเลยครับ ไม่ว่าจะวัตถุที่ใกล้กล้องหรือไกลกล้อง มันก็ชัดไปซะทั้งหมด
บางทีก็อาจจะมีบางช่วงที่ไม่ชัด แต่ช่วงที่ชัดมันยาวววเยอะมากๆ ก็จัดว่าเป็นชัดลึกเช่นกัน ลองดูรูปประกอบสองรูปนี้ครับ
2. ภาพชัดลึก
2.1 ชัดลึกประเภท ชัดแทบจะทั้งภาพ หาเบลอไม่เจอ
2.1 ชัดลึกประเภท มีเบลอบ้าง แต่ช่วงส่วนใหญ่ชัด
... สำหรับชัดลึก ก็ดูไม่ยากครับ ถ้าภาพมันไม่ค่อยมีอะไรที่มันเบลอชัดเจนมากมายนัก หรือชัดทั้งภาพ มันก็คือชัดลึกนั่นเอง
ลองดูรูปด้านล่างนี้ครับ
จะเห็นว่าสุนัขตัวแรกสุดเบลอนิดๆจนสังเกตไม่เห็นเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ทั้งภาพคมชัดหมด ... แบบนี้ก็คือชัดลึกนั่นเองครับ ^ ^
ก็หวังว่าข้อมูลนี้ จะพอเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
ยังไงอยากรู้รายละเอียดลึกๆ ก็ลองหาบทความเกี่ยวกับ Depth of Field อ่านดูครับ ^ ^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)