ถ้าพูดถึงวิธีการตัดสินใจเลือกซื้อรถแล้ว โดยหลักๆสามัญคนไทยแล้ว จะมีหลักคร่าวๆแค่ 2 เรื่อง ดังนี้
1. รถตลาด เห็นกลาดเกลื่อน = รถแบบนี้อะไหล่เยอะ ช่างทำรถส่วนใหญ่คุ้นมือ เวลารถมีปัญหาให้ช่างที่ไหนทำหรือแต่งก็ได้
2. ราคาขายต่อดี = ขายต่อราคาตกไม่มาก ดูแล้วคุ้มค่ากับราคาดี
...
แค่สองข้อนี้จริงๆครับ ^ ^
บางทีเราจะเห็นข้อมูลเรื่อง ศูนย์บริการดีไหม? อะไหล่เยอะไหม? เข้ามามีส่วนด้วย ... แต่จริงๆที่กล่าวมานี้ก็คือ "เป็นรถตลาด" นั่นเองครับ
......................
แต่ถ้าแนะนำตามความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ "ซื้อรถที่เราชอบ" ครับ
บางคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะคิดว่า มามุขง่ายๆอีกแล้ว เลือกรถที่เราชอบ ...
แต่จริงๆแล้วส่วนตัวคิดว่ามันเป็นความเห็นที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อรถยนต์เลยล่ะครับ
ซึ่งการเลือกรถที่ชอบนี้ ควรจะอยู่บนพื้นฐานของ "ความเป็นรถตลาดนิดหน่อยก็ยังดี" ไม่ใช่ว่าไปขุดคุ้ยรถยี่ห้อประหลาดถามใครไม่รู้จักหรอกนะครับ
แต่ส่วนตัวแล้ว Nissan Mazda Ford Mitsubishi Chevrolet อยู่ในระดับที่มีความตลาดอยู่บ้างครับ ถัดๆมาก็มี Proton ที่ทำท่าจะอยู่ยืนในไทย รวมถึง Hyundai และ Suzuki ที่มีส่วนแบ่งตลาดบ้างเหมือนกัน
...
แต่พอพูดถึงรถตลาด คนจะคิดถึง Honda กับ Toyota กันหมด (ถ้ากระบะก็ Isuzu) ซึ่งถ้าไม่ใช่ 2 ยี่ห้อนี้ บางคนจะไม่ซื้อเลย ^ ^"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถที่กล่าวมาทั้งหมด ถ้าคุณ "ชอบ" ก็สมควรที่จะซื้อมันครับ ไม่ใช่ซื้อเฉพาะ Honda หรือ Toyota (แต่ถ้าคุณชอบ Honda หรือ Toyota ล่ะก็ ง่ายเลยครับ ซื้อเลยไม่ต้องคิดมาก ^ ^)
อยากให้ลองคิดคำว่าศูนย์ อะไหล่ และราคาขายต่อดูดีๆ
1. คุณรวยขนาดจะซื้อรถเปลี่ยนรถ ซื้อรถเปลี่ยนรถ ซื้อรถเปลี่ยนรถ ... ได้บ่อยๆหรือเปล่า??
บางคนกู้มาซื้อ ผ่อนแล้วผ่อนอีก แต่ดันสนใจกับคำว่า "ราคาขายต่อ"
จริงๆแล้วราคาขายต่อนั้น เป็นกิเลส ที่ทำให้คุณขายรถแล้วซื้อใหม่ได้ง่ายขึ้น ทั้งๆที่แท้จริงแล้วรถยังดีอยู่ ไม่ได้เสียอะไร
แต่ถ้ารถคุณราคาขายต่อไม่แรง ไม่ดีมาก ... สิ่งนี้ก็จะฉุดรั้งคุณไว้ทำให้คุณไม่ขายรถ และใช้รถต่ออย่างคุ้มค่าที่สุด
...
สมมุติขายรถได้ 4 แสน ซื้อใหม่ 6 แสน ... ส่วนต่างคือ 2 แสน
ผมว่าคนไทยไม่ได้รวยขนาดอยากได้รถใหม่ทีนึง 2 แสนก็ยอมทิ้งได้หรอกครับ ... แต่คนเราสมัยนี้กลับยอมทิ้งได้ และเป็นหนี้สินอีรุงตุงนังจนเคยชินกับมัน
(และที่สำคัญคือ รถที่ขายต่อราคาดี ก็เสี่ยงต่อการโดนขโมยมากเช่นกัน แต่คนไม่ค่อยคิดถึงตรงนี้เท่าไหร่)
2. ศูนย์บริการ อะไหล่ ช่างที่คุณเคยกับรถ
อยากจะบอกว่า ... ปีหนึ่งๆ คุณต้อง "ซ่อมรถกี่ครั้ง" นี่คือคำถามครับ ^ ^
ส่วนใหญ่แล้ว ที่ต้องซ่อมเยอะๆนานๆเนี่ย ส่วนใหญ่จะ 2-3 ปี ต่อครั้ง (นอกนั้นจุกจิกไม่มีอะไรครับ)
ถามว่า 2-3 ปี มีหนึ่งครั้งที่คุณต้องเสียเงินแพงกว่าหลายพัน และคอยอะไหล่ คอยรถเสร็จ นานกว่ายี่ห้อตลาดเนี่ย
... เทียบกับทุกๆวันที่คุณขับรถที่คุณชอบ!!
อะไรดีกว่ากัน ^ ^
...
บางคนขับรถมา 2 ปี ได้ขับรถที่ตัวเองชอบมาตลอด ... พอเข้าศูนย์ อะไหล่แพงกว่าอีกยี่ห้อที่คุณไม่อยากได้ไป 2 พัน หรือรออะไหล่นานกว่า 7 วัน
ก็ดันพาลน้อยใจเอาดื้อๆ ว่าเราไม่น่าซื้อรถยี่ห้อนี้มาเลย ดูสิ ช้าก็ช้า แพงก็แพงกว่า
แต่ลืมไปหรือเปล่า ว่าในช่วงสองปี คุณต้องจ่ายแพงกว่า 2 พัน รออะไหล่ช้ากว่า 7 วัน ... ถามว่าลำบากนิดหน่อย เป็นบางช่วงเวลา "สั้นๆ" ในช่วงปี ... แต่ช่วงเวลา "ยาวๆ" นัับปีที่คุณได้ขับรถที่ถูกใจ
คุณจะเลือกอันไหน?
(น่าแปลกที่คนส่วนเืลือกที่จะสบายในช่วงสั้นๆ จ่ายถูกกว่าในช่วงสั้นๆ แต่ได้ขับรถที่ตัวเองไม่ได้ชอบมาเป็นปีๆ)
...
...
ตรงข้อสองนี้ ขอแตกประเด็นไปที่ จะเลือกรถกระบะ หรือ รถเก๋งดี
... บางคนอยากขับรถเก๋งใจจะขาด แต่เลือกกระบะ ด้วยเหตุผลว่า บรรทุกของได้
ถามกลับอีกครั้ง ปีหนึ่งๆ คุณมีของเยอะๆต้องขนกี่ครั้ง ปีหนึ่งๆคุณต้องย้ายบ้านกี่ครั้ง
บางคนปีหนึ่งๆมีธุระต้องขนของแค่ครั้งสองครั้ง แต่ก็เลือกรถกระบะ
ทั้งๆที่ความเป็นจริงเราลำบากเสียเงิน จ้างคนอื่นขนก็ได้ ... นอกนั้นทุกๆวันและวันอื่นๆ คุณก็จะได้ขับรถที่คุณชอบ ไม่ดีกว่าหรือ??
แต่เมื่อถึงเวลาขนของจริงๆ คนกลับคิดว่า "รู้งี้ซื้อรถกระบะซะก็ดี" ... เป็นยังงั้นไปซะอีก -*-
...
แต่ถ้าคุณทำอาชีพค้าขายหรือต้องขนของ ขนสินค้าบ่อยๆ ก็ควรจะซื้อรถกระบะอยู่แล้ว อันนี้ไม่แปลกเลยครับ ^ ^
...
...
...
ส่วนตัวก็มีความเห็นในการเลือกซื้อรถยนต์แค่นี้ล่ะครับ
หวังว่าจะช่วยให้คนที่ลังเลได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะครับ ^ ^
