Fuji X70 กล้องฟรุ้งฟริ้งเทพสุดกระทัดรัดจากฟูจิ!!

Fuji X70 มาแน่แล้ว เป็นกล้องฟรุ้งฟริ้งถ่ายเซลฟี่ได้ หน้าตาคลาสสิก และที่สำคัญ ... เซนเซอร์ APS-C ครับ!! (สำหรับคนไม่มีความรู้เรื่องกล้อง ก็ขอบอกว่าเซนเซอร์เท่ากล้องดำๆตัวใหญ่ๆของ Canon Nikon ที่ตากล้องเค้าใช้กันอ่ะครับ อันนี้ไม่ใช่เรื่องพิกเซลนะครับ แต่เป็นขนาดเซนเซอร์ ซึ่งสำคัญกว่าเรื่องพิกเซลมาก อยากรู้ให้ลองเสิร์ชๆเพิ่มเติมดูครับ)

และนี่คือหน้าตาของ Fuji X70 ครับ (source: digicame-info.com)



จะมีทั้งรุ่น ดำทั้งตัว และคาดเงินด้านบนนะครับ
ส่วนจอพลิกได้ถ่ายเซลฟี่นั้น อาจจะไม่เซลฟี่จ๋ามาก เพราะดูแล้วคงไม่พลิกทีเดียวถ่ายเซลฟี่เลยแบบกล้องบางตัว แต่ข้อดีคือ พลิกลงล่างได้(เหมือนในรูปที่สอง) ซึ่งเอาไว้ยกกล้องเหนือหัวแล้วถ่ายรูปครับ (กรณีคนเยอะๆ แล้วเราดันไม่สูง 555+)

ส่วนสเปคก็ตามนี้ครับ
– 16MP APS-C X-Trans CMOS II sensor
– Image processing engine EXR Processor II
– AF 0.1 seconds. The image plane phase difference AF
– Shutter lag is 0.01 seconds. Shooting interval of 0.5 seconds. Start-up time of 0.5 seconds
– Customizable control ring
– LCD monitor three inches 1.04 million dots. 180 Opening tilting
– For the first time adopted a touch panel in the X series. Focus area selection, touch shot function
– The lens of the newly developed 18.5mm F2.8 (equivalent 28mm)
– Digital tele-converter (35mm and 50mm)
– Auto mode switch
– Digital split image. Focus peaking
– Wi-Fi built-in. Remote control shooting
– Continuous shooting 8 frames / sec in the AF tracking
– Silent electronic shutter. Top speed is 1/32000 seconds
– Film simulation mode (including classic chrome)
– Multi-exposure function
– Eight of the advanced filter
– Interval Timer
Video Full HD 60fps
– Body color is black and silver

ผมไฮไลท์สีแดงไว้ สำหรับฟังก์ชั่นเด็ดครับ
APS-C ... อยากจะกรี๊ดตรงนี้จริงๆ!! ตัวเล็กบางด้วย แต่ได้ APS-C!!
ส่วนเลนส์ 18.5mm กว้างอย่างเดียวครับ ถ่ายเซลฟี่ได้เลยสำหรับมุมนี้ ได้ f2.8 ด้วย กลางคืนไม่ต้องใช้แฟลชไหวครับ หน้าไม่ลอยแน่นอน (อย่าลืมว่า 2.8 + ISO 3200 ยังเนียนของฟูจิได้สบายๆ)
อย่างไรก็ตามข้อเสียก็คือ ... ซูมไม่ได้ครับ เฉพาะตัวจริงๆกล้องตัวนี้
แต่ถ้าใครใช้กล้องหลังมือถือถ่ายภาพแล้วไม่เคยรู้สึกว่ารำคาญจริง ซูมไม่ได้ (เช่น iphone) ก็ไม่ต้องซีเรียสก็ได้ครับ ระยะเท่าๆกัน (ปล. ซูมดิจิตอลในมือถือ วงการกล้องเค้าไม่ถือว่าซูมได้นะครับ เพราะเป็นการเอาภาพมาขยายใหญ่เท่านั้นเอง)

อัพเดท คลิปโฆษณา Fujifilm X70 ครับ

---------------------
(ข้อมูลเก่า: สรุปแล้ว สเปคดีกว่าที่จินตนาการไว้!! เพราะได้ APS-C sensor)

Fujifilm กำลังเตรียมปล่อยกล้องใหม่ในไลน์ใหม่ออกมาครับ ในชื่อว่า Fuji X70
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า ฟูจิได้ปล่อย X10 X20 X30 ออกมาก่อนแล้ว เป็นคอมแพคระดับโปร ซึ่งแม้เซนเซอร์จะยังเล็ก แต่ก็คุณภาพเยี่ยม
กระโดดออกมาก็คือ X100 X100s ซึ่งเป็นกล้อง APS-C sensor ที่มีไฟล์ระดับกล้อง DSLR (หรือดีกว่า DSLR หลายๆรุ่นด้วยซ้ำ) นอกจากนั้นยังมีบอดี้ที่คลาสสิค รีโทรไม่เหมือนใคร

จากข้อมูลรุ่นก่อนๆ ... X70 จึงอาจจะเป็นกล้องไลน์ใหม่ ที่กระโดดลงสู่เกมของ 1 นิ้ว หรือ 1 inch sensor ก็เป็นได้ ทำออกมาชนกับ Sony RX100 IV หรือ Canon G7X นั่นเอง!!
ซึ่งถ้าหากการคาดเดานี้เป็นจริง Fuji X70 จึงน่าจะเป็นกล้องฟรุ้งฟริ้งที่พับจอมาถ่ายเซลฟี่ได้ และยังสามารถถ่ายแบบปกติด้วยไฟล์ระดับสุดยอดจากการประมวลผลของฟูจิที่ปัจจุบันล้ำหน้าค่ายอื่นๆอย่างชัดเจน (แต่ฟูจิจะมีข้อเสียเรื่องโฟกัสธรรมดา ไม่ไวเทพแบบบางยี่ห้อ) นอกจากนั้น X70 น่าจะมีรูปร่างบอดี้ที่รีโทร มีสไตล์เหมือนเดิม

แค่เห็นชื่อรุ่นและเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนๆ ก็คาดว่าหลายๆคนน่าจะคาดหวังกับฟูจิไว้สูงครับ ผมเองก็เช่นกัน ก็รอข้อมูลใหม่กันอีกทีครับ ^ ^

Fuji X-A2 คว้ากล้องที่ดีที่สุดในปี 2015 จากเวบกล้องระดับโลกอย่าง Dpreview

Fujifilm สร้างกระแสติดจนได้ครับ กับ Fuji X-A2 ตอนนี้เวลาไปตรงไหน คนก็ถามหาแต่ฟูจิรุ่นนี้ ตกลงดีจริง หรือความเป็นกล้องฟรุ้งฟริ้ง ทำให้ขายได้กันแน่?
ณ เวลานี้ นักรีวิวหลักของ dpreview.com(เวบกล้องระดับท้อปของโลก) คนหนึ่ง ได้ยกตำแหน่งกล้องที่ดีที่สุดปี 2015 ให้กับ Fuji X-A2 เรียบร้อยตามรูปแล้วครับ
ที่มาภาพ: dpreview.com

ตากล้องหลายๆคนอาจจะเถียงนะ ว่ามีกล้องดีๆกว่า Fuji X-A2 เยอะแยะ คนยกตำแหน่งมือไม่ถึงป่าว?
สาเหตุหลักๆที่เค้ามอบตำแหน่งให้ เค้าแจ้งแถลงไขไว้แบบสรุปง่ายๆว่า "มันราคาถูก แต่ให้ภาพดีมากๆ" นั่นเองครับ
คือถ้าเอาฟูจิรุ่นนี้ ไปชนกับกล้อง 4-5 หมื่น แล้วบอกว่าฟูจิห่วยกว่าในขณะที่ฟูจิราคาหมื่นกว่าๆ ... มันก็ดูไม่สาเหตุสมผล
แต่ไฟล์ภาพของ X-A2 นั้น เอาเข้าจริงๆ ชนกับกล้องรุ่นสูงๆได้เลยครับ อาจจะโฟกัสไม่ไวเว่อร์ แต่ด้วยไฟล์ภาพสุดยอด+ราคาถูกเหลือเชื่อ เค้าจึงดันให้ Fuji X-A2 เป็นกล้องที่ดีที่สุดแห่งปีไปโดยปริยายครับ

สรุปแล้ว สาวกเซลปี่และสาวกจริงจัง ไม่อยากทุ่มเงินแพงเกินเหตุ กล้องตัวนี้ตอลโจทย์ได้หมดจากรีวิวนั้นกันเลยทีเดียวเชียวละครับ ^ ^

MIU MIU แบรนด์นี้ระดับไหน มาทำความรู้จักกันดีกว่า!!

MIU MIU มิวมิว หรือที่ติดปากฮาฮาว่า "กาเบ กาเบ" นั้น ... เป็นแบรนด์แฟชั้นแบรนด์ใหม่ ที่หลายๆคนคงงงๆว่ามาจากไหน ราคาก็แพง ตกลงแบรนด์นี้ดีไม่ดี คุณภาพใช้ได้ไหม ไก่กาอาราเล่หรือเปล่า?
แน่นอนว่า หากจะดูกระแสเมืองนอกแล้ว กาเบกาเบ เอ๊ย มิวมิวนั้นถือว่ากระแสดีใช้ได้ แล้วก็เป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์เกิน Hi-Street ไปมากด้วย ประมาณว่าน้องๆ High-End ก็ว่าได้ ไฮโซพอตัวล่ะครับ ... ส่วนสาเหตุว่าทำไมมิวมิวจึงไต่เต้าได้เร็ว มันมีที่มาที่ไปที่เข้าใจง่ายๆจากภาพด้านล่างนี้ครับ
ที่มาภาพ: pradagroup.com

จากในรูป ชัดนะครับ ที่แท้แล้ว มิวมิว ก็คือแบรนด์ลูกของปราด้า หรือป้าดา นั่นเองครับ
คล้ายๆ Armani อ่ะครับ มี Giorgio Armani, Emporio Armani

แล้วถ้าถามว่า มันต่างกับปราด้ามากไหม? ขอบอกว่าต่างกระบวนการดีไซน์มากกว่าครับ
กระเป๋า MIU MIU กับ PRADA นั้น คนดีไซน์ คนเดียวกันครับ ไม่ได้แบ่งแยกว่ามิวมิวเกรดต่ำกว่าแต่อย่างใด (คนดีไซน์หลักของทั้งสองแบรนด์คือ Miuccia Prada ครับ)
เพียงแต่ความตั้งใจในรูปลักษณ์ของดีไซน์นั้นต่างกัน
Miuccia เคยบอกว่า Miu Miu จะใช้สัญชาตญานในการดีไซน์ครับ คิดแล้วออกมาเลย เน้นเก๋ไก๋ ไม่เรื่องมาก ภาพลักษณ์ที่ออกมา เราจึงเห็นว่า Miu Miu มีความเป็นวัยรุ่นมากกว่าปราด้า
ส่วนปราด้า จะตั้งใจพิถีพิถันมากกว่า ทำให้งานดูหรูผู้ดี แต่ขาดเสน่ห์ในแบบดิบๆ เข้าถึงง่ายในแบบที่ Miu Miu มีครับ ... ในทางกลับกัน Miu Miu ก็ไม่สามารถที่จะไฮโซหรือหรูไปกว่าปราด้าที่ละเมียดละไมไปได้ ... เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่ต่างวาระ จากดีไซเนอร์คนเดียวกันครับ

สรุปแล้ว ถ้าถามว่าแบรนด์นี้ดีไหม อาจจะตอบได้คร่าวๆว่า มิวมิวเป็นแบรนด์ที่ดีมากๆแบรนด์หนึ่งจากดีไซเนอร์ระดับโลก ในราคาที่เบาลงมาอีกนิดครับผม

รองเท้า Dr. Martens ซื้อไทยหรืออังกฤษดี?

รองเท้า Dr. Martens เป็นรองเท้าแบรนด์อังกฤษที่ดังมากมายาวนาน ตอนนี้เด็กวัยรุ่นอังกฤษนิยมมากครับ ทั้งมัธยมและมหาลัย ส่วนผู้ใหญ่ก็นานๆจะเห็นใส่สักทีครับ
ว่าแต่สำหรับคนไทยล่ะ? รองเท้ายี่ห้อนี้ ถ้าซื้อที่อังกฤษจะถูกกว่าไหม? เห็นเค้าว่าผลิตในไทยด้วยนี่นา? ตกลงว่ายังไงดี?

ตอนนี้ผมอยู่ในอังกฤษครับ ก็เลยอยากแชร์ซะหน่อย ^ ^
ปล. นี่รูปรองเท้าดร.มาร์ตินส์ 1460 ของผมเองจ้า
รองเท้าผมผ่านการใช้งานมาระยะนึงแล้วครับ ซื้อจากร้านใน Outlet Premium ที่อยุธยา ราคามันถูกกว่าในห้างอ่ะครับ ซึ่งได้รีวิวไปแล้วที่ลิงค์นี้ "อวด Dr. Martens 1460"

สำหรับราคารองเท้า ผมจำไม่ได้ซะแล้วสิครับ ว่าซื้อมาเท่าไหร่ น่าจะสี่พันกว่าบาทครับ ซึ่งราคานี้ เมื่อคำนวนเป็นเงินปอนด์อังกฤษแล้ว พบว่ารองเท้า Shop Dr. Martens ในอังกฤษไม่ได้ถูกกว่ามากเลยครับถูกกว่านิดเดียว น่าจะถูกกว่า 250 บาทได้ครับ จริงๆ เหอๆๆ ยกเว้นช่วง "ลดราคา" เท่านั้นเอง จึงจะถูกกว่า ซึ่งต้องไปดูลดราคาที่ร้านนอกๆนะครับ ร้าน Dr. Martens เองไม่ค่อยลด
ดังนั้น ถ้าคิดจะมาเที่ยวอังกฤษเพื่อซื้อรองเท้า Dr. Martens โดยเฉพาะ คงต้องเซย์โนครับ ราคาไม่ต่างจากไทย!! (แต่ถ้าเทียบกับช้อปในห้าง ถือว่าอังกฤษถูกกว่าเยอะพอควร น่าจะถึงพันบาทครับ)

ถัดมาคือประเด็นสำคัญมากๆ สำคัญกว่าเรื่องราคา!!
นั่นก็คือ Made in UK ... บางคนอาจจะบอกว่า ถ้าอังกฤษกับไทยราคาพอๆกัน ซื้ออังกฤษดีกว่า เพราะได้ Made in UK
คำตอบคือ ที่นี่ Made in Thailand ครับ 555+
ไปพลิกดูมาแล้วครับ ไม่ใช่แค่รองเท้า กระเป๋าหนังเอย อะไรเอย ... Made in Thailand หมดเลยครับ แต่ขายในอังกฤษ (ช้อป Dr. Martens เองด้วย 555+)

สรุปคือ ถ้าเจอลดราคา สำหรับ 1460 ในราคา 4 พันกว่าๆ ไม่ต้องรอถูกกว่านั้นที่อังกฤษครับ ซื้อได้เลย ^ ^ ราคาไม่ต่างกับอังกฤษมาก และ Made in Thailand เหมือนกันจ้า (แต่ถ้าเจอช่วงลดราคาหนักๆ อังกฤษจะถูกกว่าเยอะ เช่น ซัมเมอร์เซลล์กะคริสมาสต์ แต่ถ้าราคาปกติ ไม่ต่างกันครับ)

รีวิว MIU MIU The First Fragrance น้ำหอมตัวแรกของมิวมิว

MIU MIU มิวมิว หรือ กาเบกาเบ(ฮา) แบรนด์ดังแบรนด์นี้ ถึงคราวทำน้ำหอมออกมาขายบ้างแล้ว ซึ่งชื่อของน้ำหอมนั้น จัดว่าลองตลาดมากๆ(แต่ขายไม่ถูกสมแบรนด์) เพราะไม่มีชื่อจ้า บอกเลยว่านี่คือน้ำหอม MIU MIU เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2015 นี้เอง ขอบอก!!
และ เมื่อรู้ว่าเจ้าแบรนด์นี้ส่งน้ำหอมเข้าตลาด ก็ต้องขอลองซะหน่อยว่าแบรนด์ไฮโซแบรนด์นี้ จะทำน้ำหอมออกมาในรูปแบบไหน (แน่นอนว่าไปลองที่ร้านเหมือนเดิม ป่าวซื้อเอง 555+)
สำหรับขวด ทำสีฟ้าใสพาสเทล แล้วก็มีจุกกลมๆแดงๆใสๆ ... ก็แนวเรียบ+แนว ในระดับหนึ่ง ดูน่ารักเรียบๆดีครับ ไม่เว่อร์วัง
ข้างๆขวดมีใบให้ลองพรมน้ำหอมด้วย ใบพรมน้ำหอมก็หน้าตาเหมือนขวดเลย สวยดี ^ ^
ว่าแล้วก็ลองซะหน่อย หุหุหุ
ลองเสร็จแล้ว ... ก่อนจะบรรยายกลิ่น ก็ขอพาชมคลิปวิดีโอโฆษณาน้ำหอมตัวนี้กันก่อนแล้วกันครับ
จากโฆษณา จะเหมือนว่าเป็นน้ำหอมแบ๊วๆวัยใส นอกจากนั้น ได้อ่านรีวิวของ Fragrantica มา บอกว่าเป็นดอก Lily of the Valley เป็นเมนหลัก (ไม่เคยดมไอ้เจ้าดอกนี้ด้วยสิ)
แต่พอลองแล้ว
ผมรู้สึกว่า กลิ่นกุหลาบแดงจัดหนักมาก (อาจจะเป็นเพราะประสาทรับกลิ่นผมรู้จักแต่กลิ่นนี้ก็ได้) แล้วก็มีกลิ่นดอกไม้อื่นๆเจือเข้ามา พร้อมๆกับกลิ่นหวานๆ ซึ่งไม่รู้ว่าหวานจากอะไร
รวมๆแล้วกลิ่นจัดว่าแปลกใหม่สำหรับผม เพราะมันผสมรวมๆแล้วไม่รู้อะไรเป็นอะไรนอกจากกุหลาบ 555+
แต่ที่แน่ๆ ผมว่าน้ำหอมตัวนี้ไม่ใช่สาวหวานเลยครับ แม้จะมีกลิ่นหวาน ... กลิ่นมันหยิ่งๆยโสยังไงไม่รู้ครับ เหมาะกับชุดราตรียาวๆเริ่ดๆเชิ่ดๆชุดแดงๆอะไรเงี๊ยะครับ บอกไม่ถูก ไม่เข้ากับโฆษณาเลยครับ นอกจากนั้น ผมว่ากลิ่นนี้คนไม่ชอบน้ำหอม ได้เวียนหัวกันบ้างเหมือนกัน แต่คนชอบน้ำหอมคงแบบว่า กลิ่นไรเนี่ย แปลก แนว ไม่เคยเจอมาก่อน!!
น้ำหอม MIU MIU ตัวนี้ รวมๆคร่าวๆ ไม่ใช่น้ำหอมสำหรับทุกวัน แต่เป็นน้ำหอมในโอกาสพิเศษครับ

ปล. ต้องลองเองครับ บางคนลองแล้วอาจจะคิดว่าเหมาะกับสาวหวานก็ได้ครับ ^ ^

รวมรีวิวน้ำหอมแอร์เมส Hermes: Les Jardins น้ำหอมสายธรรมชาติ

Hermes Les Jardins เป็นซีรี่ส์สายธรรมชาติที่เน้นกลิ่นพืชพรรณผลไม้และเครื่องเทศแบบไม่เหมือนใคร มีความโดดเด่นที่ฉีกกลิ่นน้ำหอมสายดอกไม้แบบเดิมๆออกไป เน้นความเขียวขจีเข้ามาแทนที่ แล้วผสมผสานจนหอมละมุนลงตัว ได้กลิ่นหอมผู้ดีอันลุ่มลึกอย่างเหลือเชื่อ!!
สำหรับ Les Jardins นี้ ตอนนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 กลิ่นครับ ผมซื้อมาทดลองเองสองกลิ่น ขวดทดสอบ 5ml อีกหนึ่งกลิ่น และลองที่ร้านอีก 2 กลิ่น สรุปคือได้ลองมาหมดครบเรียบร้อยสำหรับน้ำหอมแอร์เมสตระกูลนี้ครับ ทั้ง 5 กลิ่นมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง แต่ไม่มากครับ รวมๆแล้วทั้งตระกูลนี้ ฉีกแนวน้ำหอมเดิมๆออกไป เหมาะกับคนที่ต้องการ "สีเขียว" เข้ามาเติมเต็มในชีวิตจริงๆครับ
และ เมื่อไหนๆก็ได้ลองครบทั้ง 5 กลิ่นทั้งที ก็ขอรวมหน้าลิงค์รีวิวของน้ำหอมตระกูลนี้เอาไว้ในหน้าเดียวกันเลยก็แล้วกันครับ ลองคลิกตามไปชมได้จากรูปภาพเลยครับ

1. Hermes Un jardin en Méditerranée

2. Hermes Un jardin sur le Nil

3. Hermes Un jardin après la mousson

4. Hermes Un jardin sur le toit

5. Hermes Le Jardin de Monsieur Li

คลิกที่รูปภาพเพื่ออ่านรีวิวได้เลยครับ คาดว่าถ้าได้ลองน้ำหอมตระกูลนี้กันเต็มๆแล้ว คาดว่าน่าจะชอบทุกคนครับ ว่าแต่จะชอบมากน้อยก็เท่านั้นเอง ปล. ใช้ได้ทั้งหญิงชายนะครับ ตระกูลนี้ Unisex ครับ

รูปภาพ: hermes.com

รีวิว Hermes Le Jardin De Monsieur Li อีกหนึ่งความหอมสำหรับสายซิตรัส

Hermes Le Jardin De Monsieur Li เป็นน้ำหอมตัวใหม่ล่าสุด(ในตอนที่ผมพิมพ์) สำหรับซีรี่ส์ Jardin ของแอร์เมสครับ ตัวนี้ขวดจะสีเหลืองๆ อาจจะดูไม่สวยเหมือนขวดรุ่นพี่ แต่ถ้าใครชอบซิตรัส หรือกลิ่นโทนส้มๆมะนาวๆ ผมว่าควรลองครับ (โดยเฉพาะแฟนๆของ Un Jardin Sur le Nil)

อย่างไรก็ตาม ตัวนี้ไม่ได้ซื้อมาใช้เองนะครับ ไปลองที่ร้านมาครับ เห็นออกใหม่ เหอๆๆ (ได้ลองคู่กับ Mediterranee ตัวแรกสุดไปในตัว)
นี่ครับ โฉมหน้าของน้องใหม่ในซีรี่ส์นี้ Hermes Le Jardin De Monsieur Li
จากการลอง กลิ่นชัดเจนมากว่าเป็นซิตรัส
แต่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าเป็นจากตัวไหน ส่วนตัวว่ากลิ่นมันออกแนวมะนาวเลม่อน มากกว่ามะนาวไลม์นะครับ แต่ผมว่าผสมมะกรูดเข้ามาด้วยหน่อยๆ อ่านไม่ออกมาก ... รวมๆแล้ว น่าจะมะนาวเลม่อน+มะกรูด (ถ้าไม่ผิดน่ะนะ)
กลิ่นไม่แรงมาก ตามสายซีรี่ส์นี้ แต่โดยส่วนตัว ผมว่า Sur Le Nil กลิ่นละมุนลุ่มลึกกว่า
ตัวนี้จะเปรี้ยวจี๊ดออกมาอีกหน่อย แต่โดยรวม ยังจัดว่าลุ่มลึก นัวๆอยู่ดี หากเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ

ถ้าให้วิจารณ์หลักๆเลย ตัว Sur Le Nil จะเป็นซิตรัสบวกดอกไม้และพืช
ส่วนตัว Monsieur Li จะเป็นซิตรัสบวกกับดอกไม้ครับ พืชไม่ค่อยเน้น แต่จะเน้นเพิ่มความจัดของซิตรัสเข้ามาอีกนิดเดียว (นี๊ดดดด เดียวจริงๆ) เมื่อเทียบกับ Sur Le Nile

ตังนั้น ผมว่าตัวใหม่นี้วัยรุ่นกว่า Sur Le Nil
แต่โดยภาพรวม ถ้าวัยรุ่นสุด ผมให้ Sur Le Toit ครับ ... แต่กลิ่นของตัวใหม่นี้จะไปทางโทนซิตรัสมากกว่า เทียบกับ Sur Le Nil น่าจะเห็นภาพมากกว่าครับ

ปล. ผมไปอ่านรีวิวมาแล้ว จมูกผมไม่ตรงกับกลิ่นของมันเลยครับ -*- แต่อารมณ์ผม ผมรู้สึกถึงซิตรัสมากๆครับ
ข้อเสียหนึ่งเดียวก็คือ ผมว่าสีขวดไม่สวย ของรุ่นพี่สวยกว่าทุกรุ่นเลยครับ
แต่ถ้าใครเป็นแฟนซิตรัส ผมว่าพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ โดยเฉพาะแฟนพันธุ์แท้ของ Sur Le Nile น่าจะมีตัวนี้ไว้เชยชมแก้เบื่อครับ พรม Sur Le Nil มาหลายวันแล้ว เปลี่ยนโทนแต่ไม่ทิ้งแถวด้วย Hermes Le Jardin De Monsieur Li ก็ดูจะเป็นคอลเลคชั่นที่น่ามีติดไว้ประจำบ้านครับ ^ ^

รีวิว Hermes Un Jardin En Mediterranee น้ำหอมเผ็ดร้อนในฤดูร้อน

Hermes Un Jardin En Mediterranee นี้เป็นน้ำหอมตัวแรกสุดในซีรี่ส์ Jardin ของทาง Hermes เค้าเลยนะ ถ้าจำไม่ผิดน่ะนะ เหอๆๆ จุดเด่นของซีรี่ส์นี้ก็คือทำน้ำหอมที่เข้าได้กับทุกเพศวัย (Unisex) แล้วก็ใช้ได้แทบจะในทุกโอกาส ... และที่สำคัญคือ "เน้นธรรมชาติ" มากๆครับ จะเอากลิ่นแบบธรรมชาติๆมาผสมผสานจนกลายเป็นน้ำหอมนั่นเอง
สำหรับตัว Hermes Un Jardin En Mediterranee จะเป็นกลิ่น Spicy เป็นหลักครับ เผ็ดๆ ... ผมลองตัวนี้ที่ช้อปนะครับ ไม่ได้ซื้อมาลองเองครับ
พอลองแล้ว ... เจ้าตัวนี้เป็นสายเดียวกับทาาง Un Jardin Apres La Mousson ที่ผมมีครับ
คือนอกจากเผ็ดแล้ว จะเป็นแนวๆเครื่องเทศเหมือนกัน แต่หลักๆของ Mediterranee นี้ จะเผ็ดบวกกับความสดใส ซาบซ่า เหมือนกินน้ำโซดา บอกไม่ถูกครับ คือนอกจากกลิ่นเผ็ดแล้ว น่าจะใช้กลิ่นผลไม้เป็นเบสอีกตัว
ส่วน Apres La Mousson จะเผ็ดบวกกับกลิ่นใบไม้ พืชๆ ให้อารมณ์ป่าเขา ซึ่งตัวนี้นอกจากเผ็ดแล้ว น่าจะเป็นกลิ่นจากพืชพันธุ์หอมๆมากกว่า
คือแม้จะเป็นกลิ่นเผ็ดเหมือนกัน แต่คนละแนวกันครับ
รวมๆแล้วกลิ่นนี้นับว่ามีเสน่ห์ และไม่เหมือนใครดีครับ
ใครขอบกลิ่นที่ไม่เหมือนน้ำหอม แต่หอม ไม่ฉุนรูจมูกชาวบ้านและต้องการความแนว เจ้า Hermes Un Jardin En Mediterranee ตัวนี้ ผมว่าตอบโจทย์ได้ดีครับ
พูดง่ายๆคือ ผมว่าพรมไปทำงานได้เลย ไม่มีใครจับได้ว่าใส่น้ำหอม แต่จะรู้สึกสดชืนเมื่ออยู่ใกล้เราครับ ^ ^

รีวิว Jo Malone กลิ่น English Pear & Freesia จากชอปในอังกฤษครับ

ตอนนี้อยู่อังกฤษ ถามคุณพี่สาวว่าอยากได้อะไรฝาก คุณเธอก็ตอบว่า จะเอาน้ำหอมโจมาโลน ... ในไทยก็มีนิ ทำไมอยากได้ยี่ห้อนี้ก็ไม่รู้ แต่ถึงจะบอกว่าในไทยมี แต่ชอปในไทยก็มีไม่กี่แห่ง(มั้ง) เอาเป็นว่า Jo Malone ก็ Jo Malone ละกัน ^ ^ ... ส่วนกลิ่นที่ตกลงปลงใจว่าจะซื้อ ก็คือ English Pear & Freesia ครับ ในขนาด 30ml ราคาอยู่ที่ 42 ปอนด์ หรือตกเป็นเงินไทยที่ประมาณ 2,250 บาท (ไม่รู้ราคาต่างกับที่ไทยมากน้อยแค่ไหน)
จุดเด่นของ Jo Malone ก็คือแพคเกจครับ (แต่ก็ไม่รู้ในไทยทำเหมือนกันหรือเปล่านะ แต่ผมว่าน่าจะทำเหมือนกัน) เค้าให้กล่องผูกโบว์ใส่ถุงให้พร้อมเลยครับ ตอนซื้อผมถามเค้าว่าขอใส่กล่องผูกโบว์ด้วยได้ไหม(ไม่เคยซื้อยี่ห้อนี้ครับ ซื้อครั้งแรก) เค้าก็บอกว่า ทางร้านจะใส่กล่องผูกโบว์ให้ตลอดอยู่แล้วครับ แต่ครั้งนี้เป็นคริสมาสต์ ริบบิ้นเลยเป็นสีเขียวครับ ปกติจะเป็นสีดำ จากนั้นก็ใส่กล่องลงถุง และปิดท้ายด้วยกระดาษพรมน้ำหอมทับอีกชั้น พร้อมทั้งร้อยริบบิ้นมัดปากถุงอีกที
นี่ครับ ถุงโจมาโลนเค้าล่ะ
แกะริบบิ้นที่มัดปากถุงออก จะเจอกระดาษที่ขยำๆลวกๆ ปิดด้านบนเอาไว้ กระดาษที่เห็นนั่นพรมน้ำหอมจากที่ร้านมาก่อนยัดลงถุงด้วยนะ หรูหราน่าดูครับ ... แต่ไม่แน่ใจว่ากลิ่นอะไร เพราะคนละกลิ่นกับ English Pear & Freesia
เอากระดาษออก ก็จะเจอกล่องโจมาโลนนอนหมอบอยู่ด้านใน
หยิบกล่องออกมาดูหน่อยสิ
ริบบิ้นคริสมาสต์ปีนี้ ทาง Jo Malone ใช้โทนเขียวครับ บางปีก็มีสีแดงนะครับ แล้วแต่ปี
แต่ถ้าช่วงปกติก็อย่างที่บอกว่าเป็นสีดำครับ
วางคู่กับกล่องดูหน่อย จะแกะละนะ 555+ (ไม่แน่ใจว่าจะมัดโบว์สวยเหมือนเดิมก่อนส่งถึงมือคุณพี่สาวได้หรือไม่)
แกะออกมาแล้ว มีขวดน้ำหอมวางอยู่ด้านใน ขนาด 30ml ครับ ... ขนาด 100ml ซื้อไม่ไหว ตั้ง 85 ปอนด์ครับ คิดเป็นเงินไทยก็ 4,500 บาท ราคาจริงๆก็แค่สองเท่าของ 30ml แหละครับ ดูแล้วคุ้มกว่า ... แต่ก็นะ ไม่รู้จะฉีดไปอีกนานแค่ไหนสำหรับ 100ml เดี๋ยวก็เบื่อ เอา 30ml นี่แหละ ถูกดี 555+
จับขวดตั้ง
เทียบไซส์กับมือครับ
หน้าตาหรูหราผู้ดี๊ผู้ดีมากๆ ไม่มีความเว่อร์วังครับ ง่ายๆเรียบๆ ... ไม่ว่าจะกลิ่นไหนก็แบบนี้ทุกขวด (ยกเว้นโคโลญ intense ที่ขวดจะเป็นสีเขียวเข้มๆออกดำๆครับ ไม่เป็นแก้วใส)
จากการทดสอบ ...
กลิ่นของ Jo Malone English Pear + Freesia จะเป็นกลิ่นผลไม้ผสมกับดอกไม้ ที่ลงตัวมากๆครับ
ตัว English Pear นั้น ไม่ได้เป็นผลไม้กลิ่นหวานฉ่ำอย่างพวกกลิ่นองุ่น เบอร์รี่ อะไรแนวนั้น ดังนั้น กลิ่นมันจะไม่ออกแนวเด็กๆเท่าไหร่ครับ ผู้ใหญ่สุขุมลุ่มลึกพอประมาณ คล้ายๆกลิ่นผลฝรั่งที่หอมๆน่ะครับ (แต่ไม่เหมือนนะ ประมาณๆ) จากนั้นก็มีกลิ่นของดอกฟรีเซียผสมเข้ามา ... รวมๆแล้วหอม ผู้ดีมากๆครับ ไม่ฉุนมากด้วย เพราะจริงๆเป็น Cologne
การใช้งาน กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่นใช้ได้ทุกวันครับ น่าจะเหมาะกับทั้งฉีดพรมบนผิวและเสื้อผ้า กลิ่นอาจจะต่าง แต่ก็น่าจะหอมเช่นเดียวกันครับ

ก็เป็นน้ำหอมที่แนะนำครับ ค่อนข้าง mainstream นิดนึง แต่รับรองว่าใช้ได้กับสาวๆแทบทุกสไตล์ ไม่มีผิดหวังครับ ^ ^

ปล. จะบอกว่ามัดริบบิ้นให้กลับมาสวยเหมือนเดิมไม่ได้ล่ะ 555+

ตุ๊กแกยักษ์สุดหลอน!! ตัวใหญ่มาก!!

ใครที่เกลียดกลัวตุ๊กแก(ว่าแต่ใครไม่เกลียดบ้าง คงเป็นคนส่วนน้อยมากๆ) ได้เห็นภาพนี้ รับรองว่าต้องหลอน อึ้งทึ่ง ขนลุก สยองไปตามๆกัน
เพราะภาพที่เห็นนี้คือภาพตุ๊กแกสุดสยองที่ตัวใหญ่ยักษ์แบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนแน่ๆ ... และที่สำคัญ นี่คือภาพจริงๆ ไม่ได้ตัดต่อ หรือใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิคแต่ประการใด

เชิญชมกันเลยครับ!!
ผู้ถ่ายภาพ: Eric Holland

ภาพตุ๊กแกที่เห็นนี้ จริงๆไม่ใช่ตุ๊กแกครับ แต่ถ้าจะเรียกว่าตัวเงินตัวทองพันธุ์หนึ่ง จะเหมาะกว่าครับ หรือจะเรียกว่าตะกวดก็ว่าได้ (แต่มันก็เกาะกำแพงได้เหมือนตุ๊กแก และตัวใหญ่มากกๆๆๆๆๆ)
ชื่อจริงๆของมันก็คือ Lace Goanna ครับ อาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลียครับ ... และปกติ มันก็ไม่ได้เกาะฝาบ้านแบบนี้หรอกครับ (เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าออสเตรเลียมีเจ้าตัวนี้เกาะบ้าน เหอๆๆ)
แต่ในภาพนี้ ไม่รู้มันยังไงครับ เข้าไปในบ้านคน เกาะผนัง แล้วเจ้าของบ้านก็ถ่ายรูปไว้ จากนั้นไม่นานมันก็คลานจากไปครับ

อย่างไรก็ตาม ภาพนี้ถูกแชร์กันไปเยอะมากในโลกออนไลน์ เพราะใครเห็นเข้าก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่มันตุ๊กแกยักษ์ชัดๆ!! -*-

Game of Thrones ซีซั่น 6 เปิดตัวพร้อมวันฉาย!!

อัพเดท Game of Thrones Season 6 พร้อมวันฉายที่แน่นอน พร้อมทีเซอร์ใหม่ทั้ง 3 ตัวครับ!!
โดยกำหนดการฉายก็คือ 24 เมษายน 2016 ปีนี้นั่นเอง อีกไม่นานแล้วครับ
ส่วนทีเซอร์หรือตัวอย่างภาคใหม่นี้ ก็ยังไม่มีอะไรมากครับ แต่ "น่าสนใจ" ไม่เบา ... เพราะเป็นการเปิดตัว "ธง" ของทั้ง 3 บ้านหลักๆของเรื่อง คือ Targaeryen, Lannister และ Stark
โดยข้อความของธงทั้ง 3 คลิปนี้ ก็ค่อนข้าง plot twist นิดๆหน่อยๆ ให้คนดูได้ลุ้นกันเช่นเคย ... จบภาค 5 ... Targaeryen เหมือนจะรุ่ง เพราะรวม Tyrion และตัวละครแกร่งๆจากฝั่ง Lannister เอาไว้ แต่ "Queen of nothing" มันหมายความว่าอย่างไร ... Stark ที่น่าจะร่วงไปนานแล้ว ก็ยังมาชนกับเค้าอยู่ เอาอะไรมาชน? หรือว่าเป็นเพราะ Bran ... ส่วนฝั่ง Lannister ก็ทำท่าจะร่วงตามคาด ... คำว่า Shame Shame Shame ยังคงลอยเป็นแบคกราวด์อยู่ครับ

เอาเป็นว่าลองชมคลิปกันเลยดีกว่า



เป็นไงครับ ปล่อยภาพมาแค่ธง แต่น่าสนใจมากใช่ไหมล่ะ!!

----------------------------------

Game of Thrones Season 6 มาแล้วครับ!! ตอนนี้ทาง HBO ก็ได้ปล่อย Teaser ตัวแรกออกมาแล้ว
พร้อมกับบอกอธิบายไว้ว่า ... เกมออฟโธรนซีซั่น 6 จะเริ่มฉายเดือนเมษายน 2016 ครับ ก็คอยกันอีก 4 เดือน ไม่นานครับ เดี๋ยวเวลาก็ผ่านไป เหอๆๆ

ปล. คลิปด้านล่างนี้ แม้จะเป็นคลิปเปิดตัวภาค 6 แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าสปอยล์ภาค 5 รุนแรงมากกก!! ดังนั้น หากใครยังดูภาค 5 ไม่จบ หรือกำลังคิดจะเริ่มดูซีรี่ส์ Game of Throne นี้ ... อย่าคลิกดูเป็นอันขาดครับ เหอๆๆ
จากคลิป มีแต่ภาพรวมๆของซีซั่นก่อนๆเท่านั้นเองครับ เป็นตัวอย่างละครที่สุกเอาเผากินมากๆ ... อย่างไรก็ตาม มีประโยคสุดท้ายเกริ่นไว้ว่า "They have no idea what's going to happen"
... "พวกเค้าไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น" ฟังจากเสียงแล้ว คือเสียงของ Bran ครับ ... คาดว่าภาคนี้ อาจจะได้ฤกษ์เด่นของ Bran ซะที หลังจากที่ปูตัวละครนี้มานานมาก (มากจนตายไปแล้วหลายราย)
ก็รอดูกันครับ ว่า Bran จะทำอะไร? หรือทำนายได้ รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่คนอื่นไม่รู้? ก็รอดูกันต่อไปครับ