กฎการนำของเหลวขึ้นเครื่องนั้น คาดว่าทุกๆคนคงจะทราบดีอยู่แล้ว ว่าห้ามนำของเหลวเกินหรือมากกว่า 100 ml. ขึ้นเครื่อง (แต่โหลดลงใต้ท้องเครื่องพร้อมกระเป๋าเดินทางได้นะจ้ะ)
แต่สิ่งที่หลายๆคนน่าจะสงสัยหรือผ่านประสบการณ์ขัดข้องใจมาบ้าง ก็คือว่า "แล้วถ้าภาชนะบอกว่า 120 ml. แต่ใช้ของเหลวไปเกินครึ่งแล้วล่ะ" ... แบบนี้น่าจะโอเคนะ?
...
อย่างในรูปครับ ตัวอย่าง
ตรงข้างหลอด เมื่อซูมดูจะเห็นชัดเจน ว่า 170 ml.
ดังนั้น หากเราบีบของเหลวออกไป จนเหลือไม่ถึงครึ่งหลอด พูดง่ายๆก็คือใช้ไปเยอะ เหลือไม่ถึง 100 ml แล้วนั่นล่ะ แถวหลอดก็ใส มองเห็นภายใจชัดเจนแบบนี้ ... เค้าจะให้เราพกขึ้นเครื่องได้ไหม?
คำตอบ = "ไม่ได้" ครับผม
เพราะการวัดปริมาตร ไม่เหมือนกับการชั่งน้ำหนัก (เกณฑ์มันเป็นปริมาตรอ่ะครับ) ... ถ้าเค้าจะวัดว่าของเหลวในขวดเหลือเท่าใด เค้าก็ต้องบีบมาตวงดูอ่ะครับ ทำเสร็จก็ต้องคืนใส่ขวดหรือหลอด? ก็คงไม่ใช่
ดังนั้น เค้าจึงต้องเน้นหีบห่อเป็นสำคัญ ถ้าเกิน 100 ml ก็หั่นเรียบสถานเดียวครับ!!
สรุป ถ้ามีภาชนะบรรจุของเหลวเกิน 100 ml แม้จะเหลือไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องโหลดลงใต้ท้องเครื่องทั้งหมดครับ ไม่เช่นนั้น โดนริบไป น้ำตาตกใน (ถ้าเป็นของแพง เช่นน้ำหอมหรู) ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้อ่ะนะ เหอๆๆ
รีวิว Billion Beef ก๋วยเตี๋ยวเนื้อพันล้าน ที่สยามพารากอนครับ ^ ^
Billion Beef @ Siam Paragon... เนื้อวัวพันล้าน หรือร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อพันล้านที่สยามพารากอนแห่งนี้ เป็นร้านที่คุณพี่สาวไปทานมาครับ ผมไม่ได้ไปเองหรอก แล้วคุณพี่สาวก็ถ่ายรูปเก็บมาฝาก(แบบอวดๆ)
คือคุณพี่สาวบอกว่า เนื้อมันนุ่ม อร่อยมากๆ!! ... ประมาณนั้นครับ ... แต่ผมดูรูปแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่ามันจะอร่อยขนาดนั้นจริงหรือ? ... แต่ก็แน่ล่ะครับ เพราะรูปภาพมันบอกถึงความนุ่มของเนื้อไม่ได้นี่นา ^ ^"
ลองชมกันครับ กับร้าน Billion Beef ครับ ... แล้วการ์ตูนญ๊่ปุ่นนี่มันอารายกานน ... เค้าบอกว่าวาดโดยลูกค้าชาวญี่ปุ่นจาก ... จากไหนก็ไม่รู้ กล้องมันถ่ายมาไม่หมด
อันนี้เป็นบรรยากาศในร้าน ... น่าจะเป็นโซนชั้น G ในสยามพารากอน (มั้ง) ครับ
เก้าอี้เค้าเด่นตรงที่ทำเป็นลายวัว เป็นขนๆนิ่มๆ ...
อันนี้ก็คงเป็นชามะนาว ไม่น่าผิดพลาด
และจานนี้แหละครับ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่คุณพี่สาวบอกว่า "นุ่มอร่อยมาก" ... ผมดูจากภาพแล้วรู้สึกว่า "ก้อนใหญ่มากกก" แล้วก็หลายก้อนด้วย!! ถ้าเหนียว แข็ง ... จานนี้จะเป็นอาหารที่กินยากมากๆ ... ดังนั้นการที่เค้ากล้าใส่เนื้อมาเป็นท่อนๆขนาดนี้ ก็แสดงว่าน่าจะมีสูตรเด็ดให้เนื้อนุ่มนิ่มได้จริงๆครับ ... ดูจากรูปไม่น่าจะอร่อยอ่ะ ... แต่คงอร่อยจริงอ่ะนะ
อันนี้เป็นอีกจานครับ เป็นปอเปี๊ยะ อันนี้ปกติครับ แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มอร่อยของปอเปี๊ยะปกติน่ะครับ (คุณพี่สาวว่างั้น)
... จากรูปนี้ ทำให้เห็นแล้วว่ารูปการ์ตูนด้านบนคืออะไร ... มันคือแผ่นรองจานนั่นเอง เขียนว่า "ภาพวาดสไตล์การ์ตูนที่วาดโดยลูกค้าชาวญี่ปุ่นจากห้างเอ็มโพเรี่ยม" (ลูกค้าเค้ามานั่งวาดอย่างงี้เลยหรือ?)
ก็ลองไปกินกันดูครับ ดูแล้วเหมือนก๋วยเตี๋ยวเนื้อธรรมดาๆ แต่จริงๆคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อพันล้านที่นุ่มอร่อยมากๆครับ (จากปากคำคุณพี่สาวล้วนๆครับ)
คือคุณพี่สาวบอกว่า เนื้อมันนุ่ม อร่อยมากๆ!! ... ประมาณนั้นครับ ... แต่ผมดูรูปแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่ามันจะอร่อยขนาดนั้นจริงหรือ? ... แต่ก็แน่ล่ะครับ เพราะรูปภาพมันบอกถึงความนุ่มของเนื้อไม่ได้นี่นา ^ ^"
ลองชมกันครับ กับร้าน Billion Beef ครับ ... แล้วการ์ตูนญ๊่ปุ่นนี่มันอารายกานน ... เค้าบอกว่าวาดโดยลูกค้าชาวญี่ปุ่นจาก ... จากไหนก็ไม่รู้ กล้องมันถ่ายมาไม่หมด
อันนี้เป็นบรรยากาศในร้าน ... น่าจะเป็นโซนชั้น G ในสยามพารากอน (มั้ง) ครับ
เก้าอี้เค้าเด่นตรงที่ทำเป็นลายวัว เป็นขนๆนิ่มๆ ...
อันนี้ก็คงเป็นชามะนาว ไม่น่าผิดพลาด
และจานนี้แหละครับ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่คุณพี่สาวบอกว่า "นุ่มอร่อยมาก" ... ผมดูจากภาพแล้วรู้สึกว่า "ก้อนใหญ่มากกก" แล้วก็หลายก้อนด้วย!! ถ้าเหนียว แข็ง ... จานนี้จะเป็นอาหารที่กินยากมากๆ ... ดังนั้นการที่เค้ากล้าใส่เนื้อมาเป็นท่อนๆขนาดนี้ ก็แสดงว่าน่าจะมีสูตรเด็ดให้เนื้อนุ่มนิ่มได้จริงๆครับ ... ดูจากรูปไม่น่าจะอร่อยอ่ะ ... แต่คงอร่อยจริงอ่ะนะ
อันนี้เป็นอีกจานครับ เป็นปอเปี๊ยะ อันนี้ปกติครับ แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มอร่อยของปอเปี๊ยะปกติน่ะครับ (คุณพี่สาวว่างั้น)
... จากรูปนี้ ทำให้เห็นแล้วว่ารูปการ์ตูนด้านบนคืออะไร ... มันคือแผ่นรองจานนั่นเอง เขียนว่า "ภาพวาดสไตล์การ์ตูนที่วาดโดยลูกค้าชาวญี่ปุ่นจากห้างเอ็มโพเรี่ยม" (ลูกค้าเค้ามานั่งวาดอย่างงี้เลยหรือ?)
ก็ลองไปกินกันดูครับ ดูแล้วเหมือนก๋วยเตี๋ยวเนื้อธรรมดาๆ แต่จริงๆคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อพันล้านที่นุ่มอร่อยมากๆครับ (จากปากคำคุณพี่สาวล้วนๆครับ)
รีวิว Mercure Siam @ Bangkok โรงแรมทำเลเด็ดย่านสยาม!!
หนึ่งในโรงแรมทำเลทองของกรุงเทพฯครับ สำหรับ Mercure Bangkok Siam แห่งนี้ เพราะว่าอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับห้าง MBK แล้วก็หน้าโรงแรมเนี่ย เดินขึ้น BTS สนามกีฬาได้เลยครับ สะดวกสุดๆไปเลย!!
ซึ่งเจ้าโรงแรมแห่งนี้นั้น คุณพี่สาวได้ไปเข้าพักมาน่ะครับ ก็เลยถือโอกาสเอารูปของคุณพี่สาวที่ได้ถ่ายมา มารีวิวให้ได้ชมกันครับ (ปล. ใช้แต่กล้องคอมแพครุ่นโบราณถ่ายน่ะครับ เลนส์ไม่ไวด์ ภาพกว้างๆเลยไม่มีกับเค้า)
เกริ่นอีกนิดว่า Mercure Siam Bangkok นั้น อยู่ที่เดียวกับ Ibis Siam Bangkok นะครับ ซึ่งผมเคยทำ "รีวิว Ibis Siam Bangkok" คลิกเข้าไปอ่านกันได้ครับ ^ ^
เริ่มจากฟรอนท์ และล็อบบี้ครับ
ด้านนี้คงเป็นล็อบบี้ของทางโรงแรม ... มืดมาเชียว (เป็นเพราะกล้องครับ อย่าเข้าใจผิด อีกอย่างคือย้อนแสงด้วย)
มีมุมให้ใช้ internet ครับ ... แล้วก็โต๊ะทางด้านซ้ายนั่น ... ทัวร์ (ล่ะมั้ง) ครับ
ดูบริเวณล็อบบี้อีกที ไม่ใช้ล็อบบี้ที่ชั้นล่างนะครับ เป็นอีกจุดนึง (ของ Ibis จะอยู่ด้านล่าง ส่วน Mercure จะสูงกว่า)
บริเวณโถงทางเดินระหว่างห้องครับ ตรงนี้ก็เรียบๆ ปกติไม่มีอะไรเด่นมาก
พอเข้าไปในห้อง ... เตียงนุ่มครับ (แต่คุณพี่สาวบอกว่าหมอนนิ่มมากๆ ชอบมากๆ นอนแล้วหัวจม ประมาณนั้น)
บริเวณด้านข้างของเตียงนอนทั้งสองด้าน จะมีไฟส่องอ่านหนังสือ ไม่กวนใจกัน (ก็คงกวนบ้าง แต่ไม่มากน่ะนะ)
อันนี้ไฟส่องอีกด้านครับ
มีโต๊ะทำงาน ให้ เป็นมุมเดียวกับมินิบาร์ อยู่ใกล้ๆกับทีวี
ออกแบบมาประมาณเนี๊ยะครับ
มีเดย์เบดโซฟาตัวใหญ่ให้อยู่ในห้อง (ประหนึ่งว่านอน 3 คนได้โดยไม่ต้องมีเตียงเสริมได้เลยนะเนี่ย หากดูจากไซส์แล้ว)
หันมามองดูทีวี ... ตุ๊กตากระต่ายด้านบนจริงๆไม่มีนะครับ คุณพี่สาวเอามาเอง วางเป็นพร๊อบ
ลวดลายที่แปะไว้ที่ผนังด้านบนมินิบาร์ครับ
จากเตียงนอน เลื่อนเปิดดูในห้องน้ำได้
ว่าแล้วก็เอาภาพในห้องน้ำมาให้ชมกันต่อเลยดีกว่า มีสายชำระให้ ทิชชู่ให้สองม้วนเลย ผ้าต่างๆก็ม้วนๆเก็บไว้อย่างที่เห็นในภาพอ่ะแหละครับ
อ่างล้างหน้าครับ
แอบส่องดูด้านนอกบริเวณเตียงจากบริเวณ shower ... เอ๊ะ บานเลื่อนเนี่ย อย่าบอกนะว่าเปิดจากข้างนอกได้ แต่ข้างในไม่ได้น่ะ -*- (ยังงี้คงต้องไปกับคนรู้ใจเท่านั้น)
amenities ของที่นี่เป็นยี่ห้อของ Mercure เองครับ ชื่อว่า Mercure and me
สบู่ Mercure and me ครับ ... ดีหรือเปล่า? ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเห็นคุณพี่สาวเก็บมาเรียบ คงไม่ได้ใช้ครบทุกอันแน่ๆ
มุมกาน้ำร้อน ชา กาแฟ จะอยู่ด้านบนตู้เย็นครับ
ชาที่มีให้ยี่ห้อ Dilmah (ดีป่าวไม่รู้)
ด้านล่างก็จะมีตู้เย็น
เปิดออกดู ไม่มีอะไรยั่วกิเลสให้ต้องเผลอกินครับ เอาน้ำด้านบนมาแช่ให้เย็นดีกว่า
โทรศัพท์ครับ ... ก็ต้องมีแหละนะ โรงแรมทั้งที
... และจุดเด่นที่ชอบเป็นการส่วนตัวตอนเห็นรูปก็คือ ... เค้ามีเตารีดให้ด้วย!! พร้อมที่รองรีดเลยนะครับ ดังนั้นใครพับผ้ามาในกระเป๋า ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าแล้วครับ
แล้วก็มีไฟฉายฉุกเฉิน
ในตู้ก็มีไม้แขวนเสื้อให้เยอะ มีไดร์เป่าผม
แล้วก็ตู้เซฟให้ใช้
ดูวิวจากในห้องพักกันหน่อย เป็นวิวสนามกีฬาครับ
จากนั้นก็ไปที่ห้องอาหารครับ คุณพี่สาวบอกว่าชอบห้องอาหารมาก อาหารเค้าอร่อยทุกอันเลย
อีกมุมในห้องอาหาร
ตัวอย่างอาหารที่คุณพี่สาวถ่ายรูปมาให้ดูกัน เนื้อไก่ ราดอะไรไม่รู้ แล้วก็มันฝรั่ง
เบเกอร์รี่ ... ดูลักษณะผิวของเค้กสีเขียวข้างๆแล้ว พอดูออกครับ ว่าต้องอร่อยแน่ๆเลย
จบรีวิวตัวโรงแรม ก็พาไปดูด้านหน้าโรงแรมกันเลย ... บันไดขึ้นรถไฟฟ้า BTS อยู่ด้านหน้าโรงแรมแบบนี้เลย เจ๋งป่าวล่ะ ^ ^ (ทำเลเค้าดีมากจริงๆ)
จากบันได BTS ส่องลงมายังโรงแรม ซ้าย Mercure ขวา Ibis ครับ ใช้ตึกร่วมกันเลย
ก็เป็นอีกหนึ่งในโรงแรมทำเลทองของกรุงเทพครับ ราคาไม่ถูก แต่ไม่ได้แพงหนักหนาสาหัสอะไร ประมาณสองพันกว่าๆครับ ... ดังนั้น ถ้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากประหยัดมากมายอะไร ก็จัดว่าราคาดีทำเลเด็ดอยู่เหมือนกันครับ สำหรับ Mercure Siam Bangkok แห่งนี้
อ้อ เกือบลืมบอกไป
Mercure มีสระว่ายน้ำอยู่บนดาดฟ้าด้วยนะครับ วิวสวยไม่เบา (แต่สระไม่ใหญ่มากนะ) คุณพี่สาวไม่ได้ถ่ายมาครับ แต่บอกว่าคนจีนไปเล่นน้ำกันเยอะเหมือนกันครับ
ซึ่งเจ้าโรงแรมแห่งนี้นั้น คุณพี่สาวได้ไปเข้าพักมาน่ะครับ ก็เลยถือโอกาสเอารูปของคุณพี่สาวที่ได้ถ่ายมา มารีวิวให้ได้ชมกันครับ (ปล. ใช้แต่กล้องคอมแพครุ่นโบราณถ่ายน่ะครับ เลนส์ไม่ไวด์ ภาพกว้างๆเลยไม่มีกับเค้า)
เกริ่นอีกนิดว่า Mercure Siam Bangkok นั้น อยู่ที่เดียวกับ Ibis Siam Bangkok นะครับ ซึ่งผมเคยทำ "รีวิว Ibis Siam Bangkok" คลิกเข้าไปอ่านกันได้ครับ ^ ^
เริ่มจากฟรอนท์ และล็อบบี้ครับ
ด้านนี้คงเป็นล็อบบี้ของทางโรงแรม ... มืดมาเชียว (เป็นเพราะกล้องครับ อย่าเข้าใจผิด อีกอย่างคือย้อนแสงด้วย)
มีมุมให้ใช้ internet ครับ ... แล้วก็โต๊ะทางด้านซ้ายนั่น ... ทัวร์ (ล่ะมั้ง) ครับ
ดูบริเวณล็อบบี้อีกที ไม่ใช้ล็อบบี้ที่ชั้นล่างนะครับ เป็นอีกจุดนึง (ของ Ibis จะอยู่ด้านล่าง ส่วน Mercure จะสูงกว่า)
บริเวณโถงทางเดินระหว่างห้องครับ ตรงนี้ก็เรียบๆ ปกติไม่มีอะไรเด่นมาก
พอเข้าไปในห้อง ... เตียงนุ่มครับ (แต่คุณพี่สาวบอกว่าหมอนนิ่มมากๆ ชอบมากๆ นอนแล้วหัวจม ประมาณนั้น)
บริเวณด้านข้างของเตียงนอนทั้งสองด้าน จะมีไฟส่องอ่านหนังสือ ไม่กวนใจกัน (ก็คงกวนบ้าง แต่ไม่มากน่ะนะ)
อันนี้ไฟส่องอีกด้านครับ
มีโต๊ะทำงาน ให้ เป็นมุมเดียวกับมินิบาร์ อยู่ใกล้ๆกับทีวี
ออกแบบมาประมาณเนี๊ยะครับ
มีเดย์เบดโซฟาตัวใหญ่ให้อยู่ในห้อง (ประหนึ่งว่านอน 3 คนได้โดยไม่ต้องมีเตียงเสริมได้เลยนะเนี่ย หากดูจากไซส์แล้ว)
หันมามองดูทีวี ... ตุ๊กตากระต่ายด้านบนจริงๆไม่มีนะครับ คุณพี่สาวเอามาเอง วางเป็นพร๊อบ
ลวดลายที่แปะไว้ที่ผนังด้านบนมินิบาร์ครับ
จากเตียงนอน เลื่อนเปิดดูในห้องน้ำได้
ว่าแล้วก็เอาภาพในห้องน้ำมาให้ชมกันต่อเลยดีกว่า มีสายชำระให้ ทิชชู่ให้สองม้วนเลย ผ้าต่างๆก็ม้วนๆเก็บไว้อย่างที่เห็นในภาพอ่ะแหละครับ
อ่างล้างหน้าครับ
แอบส่องดูด้านนอกบริเวณเตียงจากบริเวณ shower ... เอ๊ะ บานเลื่อนเนี่ย อย่าบอกนะว่าเปิดจากข้างนอกได้ แต่ข้างในไม่ได้น่ะ -*- (ยังงี้คงต้องไปกับคนรู้ใจเท่านั้น)
amenities ของที่นี่เป็นยี่ห้อของ Mercure เองครับ ชื่อว่า Mercure and me
สบู่ Mercure and me ครับ ... ดีหรือเปล่า? ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเห็นคุณพี่สาวเก็บมาเรียบ คงไม่ได้ใช้ครบทุกอันแน่ๆ
มุมกาน้ำร้อน ชา กาแฟ จะอยู่ด้านบนตู้เย็นครับ
ชาที่มีให้ยี่ห้อ Dilmah (ดีป่าวไม่รู้)
ด้านล่างก็จะมีตู้เย็น
เปิดออกดู ไม่มีอะไรยั่วกิเลสให้ต้องเผลอกินครับ เอาน้ำด้านบนมาแช่ให้เย็นดีกว่า
โทรศัพท์ครับ ... ก็ต้องมีแหละนะ โรงแรมทั้งที
... และจุดเด่นที่ชอบเป็นการส่วนตัวตอนเห็นรูปก็คือ ... เค้ามีเตารีดให้ด้วย!! พร้อมที่รองรีดเลยนะครับ ดังนั้นใครพับผ้ามาในกระเป๋า ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าแล้วครับ
แล้วก็มีไฟฉายฉุกเฉิน
ในตู้ก็มีไม้แขวนเสื้อให้เยอะ มีไดร์เป่าผม
แล้วก็ตู้เซฟให้ใช้
ดูวิวจากในห้องพักกันหน่อย เป็นวิวสนามกีฬาครับ
จากนั้นก็ไปที่ห้องอาหารครับ คุณพี่สาวบอกว่าชอบห้องอาหารมาก อาหารเค้าอร่อยทุกอันเลย
อีกมุมในห้องอาหาร
ตัวอย่างอาหารที่คุณพี่สาวถ่ายรูปมาให้ดูกัน เนื้อไก่ ราดอะไรไม่รู้ แล้วก็มันฝรั่ง
เบเกอร์รี่ ... ดูลักษณะผิวของเค้กสีเขียวข้างๆแล้ว พอดูออกครับ ว่าต้องอร่อยแน่ๆเลย
จบรีวิวตัวโรงแรม ก็พาไปดูด้านหน้าโรงแรมกันเลย ... บันไดขึ้นรถไฟฟ้า BTS อยู่ด้านหน้าโรงแรมแบบนี้เลย เจ๋งป่าวล่ะ ^ ^ (ทำเลเค้าดีมากจริงๆ)
จากบันได BTS ส่องลงมายังโรงแรม ซ้าย Mercure ขวา Ibis ครับ ใช้ตึกร่วมกันเลย
ก็เป็นอีกหนึ่งในโรงแรมทำเลทองของกรุงเทพครับ ราคาไม่ถูก แต่ไม่ได้แพงหนักหนาสาหัสอะไร ประมาณสองพันกว่าๆครับ ... ดังนั้น ถ้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากประหยัดมากมายอะไร ก็จัดว่าราคาดีทำเลเด็ดอยู่เหมือนกันครับ สำหรับ Mercure Siam Bangkok แห่งนี้
อ้อ เกือบลืมบอกไป
Mercure มีสระว่ายน้ำอยู่บนดาดฟ้าด้วยนะครับ วิวสวยไม่เบา (แต่สระไม่ใหญ่มากนะ) คุณพี่สาวไม่ได้ถ่ายมาครับ แต่บอกว่าคนจีนไปเล่นน้ำกันเยอะเหมือนกันครับ
รีวิว NAKED - Urban Decay รุ่นแรกลายคราม!!
Urban Decay NAKED เป็นอายแชร์โดว์รุ่นดังของเออเบิ่นดีเคย์ ซึ่งปัจจุบัน ก็ได้ออก NAKED 2 และ NAKED 3 ออกมาแล้ว ... โดย NAKED 2 นั้น เมื่อเทียบกับ NAKED 1 แล้ว จะเข้มๆ ส่วน NAKED 3 จะหวานๆกว่า
... แต่ตัวที่จะเอามารีวิวนี้ คือ NAKED แรก Original ที่สร้างชื่อให้ Urban Decay ครับ!!
และขอบอกว่าตัวที่เอามารีวิวนี้ ลายครามของจริง!! เพราะมันเก่าของจริงครับ เป็นของคุณพี่สาว ที่ผมแอบเอามาเล่น คุณพี่สาวบอกว่าของแท้แน่นอน (ถ้าปลอมก็โทษคุณพี่สาวแล้วกัน)
นี่ครับ สภาพ NAKED ของคุณพี่สาว เยินพอประมาณ เนื้อกล่องเป็นคล้ายๆกำมะหยี่ ตัวหนังสือจางเป็นบางส่วน
ด้านหลังครับ ... เยินไปมาก
แต่เมื่อเปิดกล่องดู ... อุ๊แม่เจ้า!! เหลือเต็มเลย ... คุณพี่สาวอ้างว่า "ใช้ทุกวัน" แต่มัน "เหลือเยอะเอง" ... คือคอนเฟิร์มประมาณว่า เจ้า NAKED เนี่ย ใช้คุ้มนะจ้ะ
แต่ถ้าใครเบื่อง่ายหน่ายเร็ว ไม่แนะนำ เพราะมันจะอยู่กับคุณไปอีกนาน ... แต่สาวๆบางคนไม่สนหรอกเนอะ ยิ่งมีเยอะ ยิ่งดี ^ ^ (บางคนอาจจะมี NAKED, NAKED 2, NAKED 3 ครบเครื่องเลยก็เป็นได้)
ผมลองเอาสีแต่ละช่องมาทาแขนให้ดูกันครับ
สามสีแรก เรียงจากซ้ายไปขวาตามกล่องเลยครับ
เริ่มด้วยสี Virgin, สี Sin, สี Naked ... สี Naked เนี่ย นู๊ดสมชื่อครับ ทาแล้วดูเนียนๆ คล้ำขึ้นนิดเดียว แทบมองไม่เห็น ... สี Naked จะเด่นในด้านการแต่งหน้าให้หน้าดูดีขึ้น แต่คนที่เห็นจะบอกไม่ได้ว่าหน้าเราไปทำอะไรมา แต่เหมือนสวยขึ้นนะ ประมาณนั้น ^ ^
ต่อมาคือสี Sidecar, สี Buck, สี Half Baked โดย Sidecar กับ Half Baked จะเป็นมันวาวสะท้อนแสงครับ แต่ยังคงคุมโทนให้ดูไม่หลุดธรรมชาติมากนัก
ต่อมาคือ Smog, Darkhorse และ Toasted ... ผมชอบ Toasted นะ มันดูอมชมพู แต่แอบม่วงน้อยๆ ให้ดูน่าค้นหาอ่่ะครับ ... คือมันเป็นสีที่ดูลึกลับ น่าค้นหา แต่ในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนเยาว์ใสๆ ในเวลาเดียวกัน
ต่อมาคือ Hustle, Creep และ Gunmetal ... Gunmetal เท่ดีครับ ผมว่านะ
... จากนั้นก็มาดูประสิทธิภาพของ Eye Shadow ตัวนี้กันครับ ผมเปิดน้ำก๊อกเต็มเหนี่ยวใส่แขนครับ (แต่ไม่ได้ขัดถูนะ เปิดก๊อกอย่างเดียว)
ผลปรากฎว่า ... ไม่ลอก ไม่ละลาย ไม่เจือจางเลย เข้มสวยอยู่เหมือนเดิมครับ สำหรับสีสันจาก NAKED
สรุปแล้ว ติดแน่นทนนานครับ แต่งเช้า ค่ำๆก็ยังสวยอยู่ได้
ข้อเด่นคือ "สี" ที่ทำออกมาธรรมชาติ ... คือแม้บางตัวจะไม่ใช่สีผิวก็ตาม แต่แต่งแล้วมันจะให้ "ภาพรวม" ของหน้าเรา ให้ดูเหมือนสวยธรรมชาติจริงๆ ไม่ได้สวยแต่งน่ะครับ ซึ่งเป็นจุดเด่นของอายแชโดว์รุ่นนี้ล่ะครับ
นอกจากนั้น หากจะสวยหวาน สวยเปรี้ยว สวยเก่ง ... ก็ดูจะแต่งได้ทุกแนว โดยไม่ดูหลุดเว่อร์จนเกินไปครับ ^ ^
ก็เป็นอายแชร์โดว์ที่ไม่รู้จักไม่ได้ครับ ดังมากๆครับ สำหรับ Urban Decay NAKED ตัวนี้
... แต่ตัวที่จะเอามารีวิวนี้ คือ NAKED แรก Original ที่สร้างชื่อให้ Urban Decay ครับ!!
และขอบอกว่าตัวที่เอามารีวิวนี้ ลายครามของจริง!! เพราะมันเก่าของจริงครับ เป็นของคุณพี่สาว ที่ผมแอบเอามาเล่น คุณพี่สาวบอกว่าของแท้แน่นอน (ถ้าปลอมก็โทษคุณพี่สาวแล้วกัน)
นี่ครับ สภาพ NAKED ของคุณพี่สาว เยินพอประมาณ เนื้อกล่องเป็นคล้ายๆกำมะหยี่ ตัวหนังสือจางเป็นบางส่วน
ด้านหลังครับ ... เยินไปมาก
แต่เมื่อเปิดกล่องดู ... อุ๊แม่เจ้า!! เหลือเต็มเลย ... คุณพี่สาวอ้างว่า "ใช้ทุกวัน" แต่มัน "เหลือเยอะเอง" ... คือคอนเฟิร์มประมาณว่า เจ้า NAKED เนี่ย ใช้คุ้มนะจ้ะ
แต่ถ้าใครเบื่อง่ายหน่ายเร็ว ไม่แนะนำ เพราะมันจะอยู่กับคุณไปอีกนาน ... แต่สาวๆบางคนไม่สนหรอกเนอะ ยิ่งมีเยอะ ยิ่งดี ^ ^ (บางคนอาจจะมี NAKED, NAKED 2, NAKED 3 ครบเครื่องเลยก็เป็นได้)
ผมลองเอาสีแต่ละช่องมาทาแขนให้ดูกันครับ
สามสีแรก เรียงจากซ้ายไปขวาตามกล่องเลยครับ
เริ่มด้วยสี Virgin, สี Sin, สี Naked ... สี Naked เนี่ย นู๊ดสมชื่อครับ ทาแล้วดูเนียนๆ คล้ำขึ้นนิดเดียว แทบมองไม่เห็น ... สี Naked จะเด่นในด้านการแต่งหน้าให้หน้าดูดีขึ้น แต่คนที่เห็นจะบอกไม่ได้ว่าหน้าเราไปทำอะไรมา แต่เหมือนสวยขึ้นนะ ประมาณนั้น ^ ^
ต่อมาคือสี Sidecar, สี Buck, สี Half Baked โดย Sidecar กับ Half Baked จะเป็นมันวาวสะท้อนแสงครับ แต่ยังคงคุมโทนให้ดูไม่หลุดธรรมชาติมากนัก
ต่อมาคือ Smog, Darkhorse และ Toasted ... ผมชอบ Toasted นะ มันดูอมชมพู แต่แอบม่วงน้อยๆ ให้ดูน่าค้นหาอ่่ะครับ ... คือมันเป็นสีที่ดูลึกลับ น่าค้นหา แต่ในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนเยาว์ใสๆ ในเวลาเดียวกัน
ต่อมาคือ Hustle, Creep และ Gunmetal ... Gunmetal เท่ดีครับ ผมว่านะ
... จากนั้นก็มาดูประสิทธิภาพของ Eye Shadow ตัวนี้กันครับ ผมเปิดน้ำก๊อกเต็มเหนี่ยวใส่แขนครับ (แต่ไม่ได้ขัดถูนะ เปิดก๊อกอย่างเดียว)
ผลปรากฎว่า ... ไม่ลอก ไม่ละลาย ไม่เจือจางเลย เข้มสวยอยู่เหมือนเดิมครับ สำหรับสีสันจาก NAKED
สรุปแล้ว ติดแน่นทนนานครับ แต่งเช้า ค่ำๆก็ยังสวยอยู่ได้
ข้อเด่นคือ "สี" ที่ทำออกมาธรรมชาติ ... คือแม้บางตัวจะไม่ใช่สีผิวก็ตาม แต่แต่งแล้วมันจะให้ "ภาพรวม" ของหน้าเรา ให้ดูเหมือนสวยธรรมชาติจริงๆ ไม่ได้สวยแต่งน่ะครับ ซึ่งเป็นจุดเด่นของอายแชโดว์รุ่นนี้ล่ะครับ
นอกจากนั้น หากจะสวยหวาน สวยเปรี้ยว สวยเก่ง ... ก็ดูจะแต่งได้ทุกแนว โดยไม่ดูหลุดเว่อร์จนเกินไปครับ ^ ^
ก็เป็นอายแชร์โดว์ที่ไม่รู้จักไม่ได้ครับ ดังมากๆครับ สำหรับ Urban Decay NAKED ตัวนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)