ปีพ.ศ. 2554 ประเทศไทยผลิตก๊าซธรรมชาติวันละประมาณ 2.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุต
หรือร้อยละ 0.9 ของอัตราการผลิตทั่วโลก สำหรับอัตราการผลิตน้ำมันดิบผลิตวันละประมาณ
2 แสนบาร์เรล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของอัตราการผลิตทั่วโลก แต่การวิเคราะห์อัตราการ
ผลิตเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เข้าใจผิดได้ การวิเคราะห์การใช้ปิโตรเลียมควรคิดเป็นภาพรวมพลังงานทั้งหมด ประเทศไทยมีการใช้พลังงานในเชิงพาณิชย์ขั้นต้น 1.86 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน คือมีการใช้ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมันดิบ ถ่านหิน พลังงานน้ำและพลังงานทดแทน โดยคิดรวมตั้งแต่การผลิตและการบริโภคโดยคำนึงถึงจำนวนประชากรมูลค่าสินค้าที่ผลิตได้จากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปัจจัยอื่นๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย
การจะชี้ว่าประเทศผลิตปิโตรเลียมได้มากหรือน้อยควรเปรียบเทียบกับอัตราการบริโภคตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้มากที่สุดในโลก 63 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่ไม่พอเพียงกับความต้องการใช้ในประเทศ ที่ 66.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทั้งนี้เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากและมีอุตสาหกรรมต่างๆมากมาย อีกตัวอย่างคือประเทศกาตาร์ที่ผลิตก๊าซธรรมชาติได้ 14.2 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันน้อยกว่าประเทศอเมริกาถึง 4 เท่า แต่สามารถเป็นผู้นำการส่งออกก๊าซธรรมชาติของโลก เพราะความต้องการใช้ในประเทศมีเพียง 2.3 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยที่ผลิตก๊าซธรรมชาติวันละประมาณ 2.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุต หรือร้อยละ 0.9 ของอัตราการผลิตทั่วโลก แต่บริโภค 4.5 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือร้อยละ 1.4 ของอัตราการบริโภคของโลก สำหรับอัตราการผลิตน้ำมันดิบผลิตวันละประมาณ 2 แสนบาร์เรล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของอัตราการผลิตทั่วโลก แต่บริโภค 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ ร้อยละ 1 ของอัตราการบริโภคของโลก เบื้องต้นจากอัตราการบริโภคน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติแสดงให้เห็นได้ว่าประเทศไทยบริโภคปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับทั่วโลกแต่ก็บริโภคมากกว่าที่ผลิตได้ นอกจากจะดูที่ปริมาณการผลิตหรือการบริโภคแล้วยังต้องปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าการใช้ปิโตรเลียมของประเทศคุ้มค่าหรือไม่ เช่น จำนวนประชากร(ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 66 ล้านคน หรือ 1% ของประชากรโลก) มูลค่าของผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมโดยตรง เช่น ถุงพลาสติก เครื่องสำอาง ปุ๋ยเคมี ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมที่สำคัญคือไฟฟ้า ไฟฟ้าที่ใช้ส่วนใหญ่ในประเทศไทย มาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง การวิเคราะห์การใช้ปิโตรเลียมควรคิดเป็นภาพรวมพลังงานทั้งหมด คือ คิดร่วมกันการใช้ถ่านหินพลังงานน้ำ และ พลังงานทดแทน โดยคิดรวมตั้งแต่การผลิตและการบริโภคโดยคำนึงถึงจำนวน
ประชากร มูลค่าสินค้าที่ผลิตได้จากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปัจจัยอื่นๆ ทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่กันไปด้วย
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าประเทศไทยไม่ได้ผลิตปิโตรเลียมได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ตามที่มีการกล่าวอ้าง โดยผลิตปิโตรเลียมได้เพียงร้อยละ 44 ของการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นที่เหลืออีกร้อยละ 56 ยังต้องมีการนำเข้าปิโตรเลียมจากต่างประเทศ
การสำรวจและผลิตน้ำมันปิโตรเลียมทำให้แผ่นดินทรุดหรือไม่?
การผลิตปิโตรเลียม จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดิน เนื่องจากปิโตรเลียมอยู่ในรูพรุนระหว่างเม็ดทราย หรือรอยแตกขนาดเล็กในชั้นหินแข็ง ที่ระดับความลึกมากกว่า 1,000 - 3,000 เมตร มิใช่เป็นโพรงหรือแอ่งใต้ดินดังที่หลายคนเข้าใจ ชั้นหินแข็งมีโครงสร้างที่แข็งแรงมากเพราะต้องรับน้ำหนักกดทับกว่า 2,600 - 7,800 ตันต่อตารางเมตร ในการผลิตน้ำมันดิบ จะสามารถสูบน้ำมันดิบขึ้นมาได้ประมาณ ร้อยละ 10-15 ของปริมาณที่สะสมในชั้นหินกักเก็บเท่านั้น เนื่องจากมีแรงต้านจากความข้นหนืดของน้ำมันดิบและแรงตึงผิวตามธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน น้ำที่แทรกอยู่ในชั้นหินจะไหลซึมเข้ามาแทนที่น้ำมันดิบ ชั้นหินแข็งเป็นโครงสร้างค้ำยันที่แข็งแรงจึงไม่เกิดการทรุดตัวของแผ่นดินจากการผลิตปิโตรเลียม ซึ่งแตกต่างจากกรณีของน้ำบาดาลซึ่งอยู่ในชั้นทรายระดับตื้น (50 – 200 เมตร) ที่ยังไม่แข็งตัว เมื่อมีการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้มากเกินไป และมากกว่าอัตราการไหลซึมของน้ำเข้าแทนที่ช่องว่างของเม็ดทรายในชั้นน้ำบาดาลจึงทำให้เกิดการอัดตัวของชั้นทรายและส่งผลให้เกิดการทรุดตัวของแผ่นดินในบริเวณดังกล่าว
ปิโตรเลียม (น้ำมัน) คืออะไร? มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
ปิโตรเลียมคืออะไร
ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากซากสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่สะสม ทับถมปนอยู่กับตะกอนดินทั้งบนบกและในทะเล เมื่อหลายสิบล้านปีก่อนภายใต้สภาวะที่มีก๊าซออกซิเจนน้อย ซากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะถูกแบคทีเรียและเชื้อรา เปลี่ยนสภาพเป็นอินทรียวัตถุ เมื่อเวลาผ่านไปบริเวณดังกล่าวจะค่อยๆ ทรุดตัวหรือจมลงภายใต้ผิวโลกลึกมากขึ้น และจากแรงกดที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากน้ำหนักของชั้นตะกอนที่ทับถมอยู่ด้านบน ตลอดจนอุณหภูมิที่สูงขึ้นมีผลทำให้อินทรียวัตถุ แปรสภาพและสลายตัวเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เรียกว่าปิโตรเลียม
ปิโตรเลียมกำเนิดมาอย่างไร
ปิโตรเลียมกำเนิดมาจากหินต้นกำเนิดปิโตรเลียม (Source Rock) ซึ่งเป็นตะกอนหรือหิน ชั้นที่มีสารอินทรีย์แทรกปนอยู่ โดยมีปริมาณสารอินทรีย์อย่างน้อยร้อยละ 0.5 และโดยทั่วไปควรจะมากกว่าร้อยละ 1.5 ตัวอย่างของหินต้นกำเนิดปิโตรเลียม ได้แก่ หินดินดาน หรือหินโคลน เป็นต้น ปิโตรเลียมที่เกิดขึ้นจากการสลายตัวของสารอินทรีย์ จะไหลซึมออกจากหินต้นกำเนิดปิโตรเลียมไปตามรอยแตก รอยแยก และตามรูพรุนของหินไปสู่แหล่งใหม่ที่มีความดันต่ำกว่าแหล่งเดิม เรียกหินที่เป็นแหล่งสะสมตัวใหม่ของปิโตรเลียมว่า หินกักเก็บปิโตรเลียม (Reservoir Rock) ซึ่งมีลักษณะเป็นรูพรุนหรือ ช่องว่างที่เชื่อมต่อกันเพียงพอที่จะกักเก็บน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติไว้ได้ สำหรับการสะสมตัวของปิโตรเลียมในหินชนิดต่างๆ พบว่าอยู่ในหินทรายร้อยละ 59 อยู่ในหินปูนร้อยละ 40 และในหินแกรนิตร้อยละ1 ในธรรมชาติเมื่อเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและความดันจากน้ำหนักของชั้นหินต่างๆ ที่ทับถมเหนือหินกักเก็บปิโตรเลียมขึ้นไป จะทำให้ปิโตรเลียมที่อยู่ในหินกักเก็บปิโตรเลียม เคลื่อนที่ผ่านรูพรุนหรือช่องว่างระหว่างเม็ดแร่ของหินขึ้นสู่ผิวโลกและระเหยไป แต่หากหินกักเก็บปิโตรเลียมถูกปิดทับด้วยหินปิดกั้น (Seal) ที่มีเนื้อละเอียดแน่น เช่น หินดินดาน หินโคลนหรือหินปูน จะทำให้ปิโตรเลียมไม่สามารถไหลซึมผ่านขึ้นสู่ผิวโลกได้และกำเนิดเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม
ปิโตรเลียมมีกี่ประเภท
ปิโตรเลียมแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ น้ำมันดิบ (Crude Oil) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate)
1. น้ำมันดิบเป็นปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นของเหลว มีสีน้ำตาลถึงสีดำ มีค่าความหนาแน่นระหว่าง 0.79-0.95 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ภายใต้สภาพปกติที่ผิวโลก น้ำมันดิบมีปริมาณคาร์บอนร้อยละ 82.2-87.1 โดยน้ำหนัก ไฮโดรเจนร้อยละ 11.7 - 14.7 โดยน้ำหนัก ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 0.2 - 6.1 เป็นสารประกอบอื่นๆ ได้แก่ กำมะถัน ไนโตรเจน ออกซิเจนและน้ำเป็นต้น
2. ก๊าซธรรมชาติเป็นปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นก๊าซหรือไอ ประกอบด้วย ก๊าซมีเทน (CH4) เป็นส่วนใหญ่ และมีก๊าซอีเทน (C2H6) ก๊าซโพรเพน (C3H8) และก๊าซบิวเทน (C4H10) ปนอยู่บ้าง ก๊าซธรรมชาติบริสุทธิ์ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น อาจเกิดร่วมกับน้ำมันดิบหรือไม่ก็ได้
3. ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นไฮโดรคาร์บอนในกลุ่มเดียวกับก๊าซธรรมชาติ แต่มีสถานะเป็นของเหลว โดยเมื่ออยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ผิวโลก ซึ่งมีอุณหภูมิและความดันสูงจะมีสภาพเป็นก๊าซ และจะกลายสภาพเป็นของเหลว เมื่อขึ้นมาสู่พื้นผิวโลก
ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากซากสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่สะสม ทับถมปนอยู่กับตะกอนดินทั้งบนบกและในทะเล เมื่อหลายสิบล้านปีก่อนภายใต้สภาวะที่มีก๊าซออกซิเจนน้อย ซากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะถูกแบคทีเรียและเชื้อรา เปลี่ยนสภาพเป็นอินทรียวัตถุ เมื่อเวลาผ่านไปบริเวณดังกล่าวจะค่อยๆ ทรุดตัวหรือจมลงภายใต้ผิวโลกลึกมากขึ้น และจากแรงกดที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากน้ำหนักของชั้นตะกอนที่ทับถมอยู่ด้านบน ตลอดจนอุณหภูมิที่สูงขึ้นมีผลทำให้อินทรียวัตถุ แปรสภาพและสลายตัวเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เรียกว่าปิโตรเลียม
ปิโตรเลียมกำเนิดมาอย่างไร
ปิโตรเลียมกำเนิดมาจากหินต้นกำเนิดปิโตรเลียม (Source Rock) ซึ่งเป็นตะกอนหรือหิน ชั้นที่มีสารอินทรีย์แทรกปนอยู่ โดยมีปริมาณสารอินทรีย์อย่างน้อยร้อยละ 0.5 และโดยทั่วไปควรจะมากกว่าร้อยละ 1.5 ตัวอย่างของหินต้นกำเนิดปิโตรเลียม ได้แก่ หินดินดาน หรือหินโคลน เป็นต้น ปิโตรเลียมที่เกิดขึ้นจากการสลายตัวของสารอินทรีย์ จะไหลซึมออกจากหินต้นกำเนิดปิโตรเลียมไปตามรอยแตก รอยแยก และตามรูพรุนของหินไปสู่แหล่งใหม่ที่มีความดันต่ำกว่าแหล่งเดิม เรียกหินที่เป็นแหล่งสะสมตัวใหม่ของปิโตรเลียมว่า หินกักเก็บปิโตรเลียม (Reservoir Rock) ซึ่งมีลักษณะเป็นรูพรุนหรือ ช่องว่างที่เชื่อมต่อกันเพียงพอที่จะกักเก็บน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติไว้ได้ สำหรับการสะสมตัวของปิโตรเลียมในหินชนิดต่างๆ พบว่าอยู่ในหินทรายร้อยละ 59 อยู่ในหินปูนร้อยละ 40 และในหินแกรนิตร้อยละ1 ในธรรมชาติเมื่อเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและความดันจากน้ำหนักของชั้นหินต่างๆ ที่ทับถมเหนือหินกักเก็บปิโตรเลียมขึ้นไป จะทำให้ปิโตรเลียมที่อยู่ในหินกักเก็บปิโตรเลียม เคลื่อนที่ผ่านรูพรุนหรือช่องว่างระหว่างเม็ดแร่ของหินขึ้นสู่ผิวโลกและระเหยไป แต่หากหินกักเก็บปิโตรเลียมถูกปิดทับด้วยหินปิดกั้น (Seal) ที่มีเนื้อละเอียดแน่น เช่น หินดินดาน หินโคลนหรือหินปูน จะทำให้ปิโตรเลียมไม่สามารถไหลซึมผ่านขึ้นสู่ผิวโลกได้และกำเนิดเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม
ปิโตรเลียมมีกี่ประเภท
ปิโตรเลียมแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ น้ำมันดิบ (Crude Oil) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate)
1. น้ำมันดิบเป็นปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นของเหลว มีสีน้ำตาลถึงสีดำ มีค่าความหนาแน่นระหว่าง 0.79-0.95 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ภายใต้สภาพปกติที่ผิวโลก น้ำมันดิบมีปริมาณคาร์บอนร้อยละ 82.2-87.1 โดยน้ำหนัก ไฮโดรเจนร้อยละ 11.7 - 14.7 โดยน้ำหนัก ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 0.2 - 6.1 เป็นสารประกอบอื่นๆ ได้แก่ กำมะถัน ไนโตรเจน ออกซิเจนและน้ำเป็นต้น
2. ก๊าซธรรมชาติเป็นปิโตรเลียมที่มีสถานะเป็นก๊าซหรือไอ ประกอบด้วย ก๊าซมีเทน (CH4) เป็นส่วนใหญ่ และมีก๊าซอีเทน (C2H6) ก๊าซโพรเพน (C3H8) และก๊าซบิวเทน (C4H10) ปนอยู่บ้าง ก๊าซธรรมชาติบริสุทธิ์ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น อาจเกิดร่วมกับน้ำมันดิบหรือไม่ก็ได้
3. ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นไฮโดรคาร์บอนในกลุ่มเดียวกับก๊าซธรรมชาติ แต่มีสถานะเป็นของเหลว โดยเมื่ออยู่ในแหล่งกักเก็บใต้ผิวโลก ซึ่งมีอุณหภูมิและความดันสูงจะมีสภาพเป็นก๊าซ และจะกลายสภาพเป็นของเหลว เมื่อขึ้นมาสู่พื้นผิวโลก
Universal Declaration of Human Rights
Adopted and proclaimed by General Assembly resolution 217 A (III) of 10 December 1948
Preamble
Whereas recognition of the inherent dignity and of the equal and inalienable rights of all members of the human family is the foundation of freedom, justice and peace in the world,
Whereas disregard and contempt for human rights have resulted in barbarous acts which have outraged the conscience of mankind, and the advent of a world in which human beings shall enjoy freedom of speech and belief and freedom from fear and want has been proclaimed as the highest aspiration of the common people,
Whereas it is essential, if man is not to be compelled to have recourse, as a last resort, to rebellion against tyranny and oppression, that human rights should be protected by the rule of law,
Whereas it is essential to promote the development of friendly relations between nations,
Whereas the peoples of the United Nations have in the Charter reaffirmed their faith in fundamental human rights, in the dignity and worth of the human person and in the equal rights of men and women and have determined to promote social progress and better standards of life in larger freedom,
Whereas Member States have pledged themselves to achieve, in cooperation with the United Nations, the promotion of universal respect for and observance of human rights and
fundamental freedoms,
Whereas a common understanding of these rights and freedoms is of the greatest importance for the full realization of this pledge,
Now, Therefore THE GENERAL ASSEMBLY proclaims THIS UNIVERSAL DECLARATION OF HUMAN RIGHTS as a common standard of achievement for all peoples and all nations, to the end that every individual and every organ of society, keeping this Declaration constantly in mind, shall strive by teaching and education to promote respect for these rights and freedoms and by progressive measures, national and international, to secure their universal and effective recognition and observance, both among the peoples of Member States themselves and among the peoples of territories under their jurisdiction.
Article 1
All human beings are born free and equal in dignity and rights. They are endowed with reason and conscience and should act towards one another in a spirit of brotherhood.
Article 2
Everyone is entitled to all the rights and freedoms set forth in this Declaration, without distinction of any kind, such as race, colour, sex, language, religion, political or other opinion, national or social origin, property, birth or other status.
Furthermore, no distinction shall be made on the basis of the political, jurisdictional or international status of the country or territory to which a person belongs, whether it be independent, trust, non-self-governing or under any other limitation of sovereignty.
Article 3
Everyone has the right to life, liberty and security of person.
Article 4
No one shall be held in slavery or servitude; slavery and the slave trade shall be prohibited in all their forms.
Article 5
No one shall be subjected to torture or to cruel, inhuman or degrading treatment or punishment.
Article 6
Everyone has the right to recognition everywhere as a person before the law.
Article 7
All are equal before the law and are entitled without any discrimination to equal protection of the law. All are entitled to equal protection against any discrimination in violation of this Declaration and against any incitement to such discrimination.
Article 8
Everyone has the right to an effective remedy by the competent national tribunals for acts violating the fundamental rights granted him by the constitution or by law.
Article 9
No one shall be subjected to arbitrary arrest, detention or exile.
Article 10
Everyone is entitled in full equality to a fair and public hearing by an independent and impartial tribunal, in the determination of his rights and obligations and of any criminal charge against him.
Article 11
(1) Everyone charged with a penal offence has the right to be presumed innocent until proved guilty according to law in a public trial at which he has had all the guarantees necessary for his defence.
(2) No one shall be held guilty of any penal offence on account of any act or omission which did not constitute a penal offence, under national or international law, at the time when it was committed. Nor shall a heavier penalty be imposed than the one that was applicable at the time the penal offence was committed.
Article 12
No one shall be subjected to arbitrary interference with his privacy, family, home or correspondence, nor to attacks upon his honour and reputation. Everyone has the right to the protection of the law against such interference or attacks.
Article 13
(1) Everyone has the right to freedom of movement and residence within the borders of each state.
(2) Everyone has the right to leave any country, including his own, and to return to his country.
Article 14
(1) Everyone has the right to seek and to enjoy in other countries asylum from persecution.
(2) This right may not be invoked in the case of prosecutions genuinely arising from non-political crimes or from acts contrary to the purposes and principles of the United Nations.
Article 15
(1) Everyone has the right to a nationality.
(2) No one shall be arbitrarily deprived of his nationality nor denied the right to change his nationality.
Article 16
(1) Men and women of full age, without any limitation due to race, nationality or religion, have the right to marry and to found a family. They are entitled to equal rights as to marriage, during marriage and at its dissolution.
(2) Marriage shall be entered into only with the free and full consent of the intending spouses.
(3) The family is the natural and fundamental group unit of society and is entitled to protection by society and the State.
Article 17
(1) Everyone has the right to own property alone as well as in association with others.
(2) No one shall be arbitrarily deprived of his property.
Article 18
Everyone has the right to freedom of thought, conscience and religion; this right includes freedom to change his religion or belief, and freedom, either alone or in community with others and in public or private, to manifest his religion or belief in teaching, practice, worship and observance.
Article 19
Everyone has the right to freedom of opinion and expression; this right includes freedom to hold opinions without interference and to seek, receive and impart information and ideas through any media and regardless of frontiers.
Article 20
(1) Everyone has the right to freedom of peaceful assembly and association.
(2) No one may be compelled to belong to an association.
Article 21
(1) Everyone has the right to take part in the government of his country, directly or through freely chosen representatives.
(2) Everyone has the right to equal access to public service in his country.
(3) The will of the people shall be the basis of the authority of government; this will shall be expressed in periodic and genuine elections which shall be by universal and equal suffrage and shall be held by secret vote or by equivalent free voting procedures.
Article 22
Everyone, as a member of society, has the right to social security and is entitled to realization, through national effort and international co-operation and in accordance with the organization and resources of each State, of the economic, social and cultural rights indispensable for his dignity and the free development of his personality.
Article 23
(1) Everyone has the right to work, to free choice of employment, to just and favourable conditions of work and to protection against unemployment.
(2) Everyone, without any discrimination, has the right to equal pay for equal work.
(3) Everyone who works has the right to just and favourable remuneration ensuring for himself and his family an existence worthy of human dignity, and supplemented, if necessary, by other means of social protection.
(4) Everyone has the right to form and to join trade unions for the protection of his interests.
Article 24
Everyone has the right to rest and leisure, including reasonable limitation of working hours and periodic holidays with pay.
Article 25
(1) Everyone has the right to a standard of living adequate for the health and well-being of himself and of his family, including food, clothing, housing and medical care and necessary social services, and the right to security in the event of unemployment, sickness, disability, widowhood, old age or other lack of livelihood in circumstances beyond his control.
(2) Motherhood and childhood are entitled to special care and assistance. All children, whether born in or out of wedlock, shall enjoy the same social protection.
Article 26
(1) Everyone has the right to education. Education shall be free, at least in the elementary and fundamental stages. Elementary education shall be compulsory. Technical and professional education shall be made generally available and higher education shall be equally accessible to all on the basis of merit.
(2) Education shall be directed to the full development of the human personality and to the strengthening of respect for human rights and fundamental freedoms. It shall promote understanding, tolerance and friendship among all nations, racial or religious groups, and shall further the activities of the United Nations for the maintenance of peace.
(3) Parents have a prior right to choose the kind of education that shall be given to their children.
Article 27
(1) Everyone has the right freely to participate in the cultural life of the community, to enjoy the arts and to share in scientific advancement and its benefits.
(2) Everyone has the right to the protection of the moral and material interests resulting from any scientific, literary or artistic production of which he is the author.
Article 28
Everyone is entitled to a social and international order in which the rights and freedoms set forth in this Declaration can be fully realized.
Article 29
(1) Everyone has duties to the community in which alone the free and full development of his personality is possible.
(2) In the exercise of his rights and freedoms, everyone shall be subject only to such limitations as are determined by law solely for the purpose of securing due recognition and respect for the rights and freedoms of others and of meeting the just requirements of morality, public order and the general welfare in a democratic society.
(3) These rights and freedoms may in no case be exercised contrary to the purposes and principles of the United Nations.
Article 30
Nothing in this Declaration may be interpreted as implying for any State, group or person any right to engage in any activity or to perform any act aimed at the destruction of any of the rights and freedoms set forth herein.
Preamble
Whereas recognition of the inherent dignity and of the equal and inalienable rights of all members of the human family is the foundation of freedom, justice and peace in the world,
Whereas disregard and contempt for human rights have resulted in barbarous acts which have outraged the conscience of mankind, and the advent of a world in which human beings shall enjoy freedom of speech and belief and freedom from fear and want has been proclaimed as the highest aspiration of the common people,
Whereas it is essential, if man is not to be compelled to have recourse, as a last resort, to rebellion against tyranny and oppression, that human rights should be protected by the rule of law,
Whereas it is essential to promote the development of friendly relations between nations,
Whereas the peoples of the United Nations have in the Charter reaffirmed their faith in fundamental human rights, in the dignity and worth of the human person and in the equal rights of men and women and have determined to promote social progress and better standards of life in larger freedom,
Whereas Member States have pledged themselves to achieve, in cooperation with the United Nations, the promotion of universal respect for and observance of human rights and
fundamental freedoms,
Whereas a common understanding of these rights and freedoms is of the greatest importance for the full realization of this pledge,
Now, Therefore THE GENERAL ASSEMBLY proclaims THIS UNIVERSAL DECLARATION OF HUMAN RIGHTS as a common standard of achievement for all peoples and all nations, to the end that every individual and every organ of society, keeping this Declaration constantly in mind, shall strive by teaching and education to promote respect for these rights and freedoms and by progressive measures, national and international, to secure their universal and effective recognition and observance, both among the peoples of Member States themselves and among the peoples of territories under their jurisdiction.
Article 1
All human beings are born free and equal in dignity and rights. They are endowed with reason and conscience and should act towards one another in a spirit of brotherhood.
Article 2
Everyone is entitled to all the rights and freedoms set forth in this Declaration, without distinction of any kind, such as race, colour, sex, language, religion, political or other opinion, national or social origin, property, birth or other status.
Furthermore, no distinction shall be made on the basis of the political, jurisdictional or international status of the country or territory to which a person belongs, whether it be independent, trust, non-self-governing or under any other limitation of sovereignty.
Article 3
Everyone has the right to life, liberty and security of person.
Article 4
No one shall be held in slavery or servitude; slavery and the slave trade shall be prohibited in all their forms.
Article 5
No one shall be subjected to torture or to cruel, inhuman or degrading treatment or punishment.
Article 6
Everyone has the right to recognition everywhere as a person before the law.
Article 7
All are equal before the law and are entitled without any discrimination to equal protection of the law. All are entitled to equal protection against any discrimination in violation of this Declaration and against any incitement to such discrimination.
Article 8
Everyone has the right to an effective remedy by the competent national tribunals for acts violating the fundamental rights granted him by the constitution or by law.
Article 9
No one shall be subjected to arbitrary arrest, detention or exile.
Article 10
Everyone is entitled in full equality to a fair and public hearing by an independent and impartial tribunal, in the determination of his rights and obligations and of any criminal charge against him.
Article 11
(1) Everyone charged with a penal offence has the right to be presumed innocent until proved guilty according to law in a public trial at which he has had all the guarantees necessary for his defence.
(2) No one shall be held guilty of any penal offence on account of any act or omission which did not constitute a penal offence, under national or international law, at the time when it was committed. Nor shall a heavier penalty be imposed than the one that was applicable at the time the penal offence was committed.
Article 12
No one shall be subjected to arbitrary interference with his privacy, family, home or correspondence, nor to attacks upon his honour and reputation. Everyone has the right to the protection of the law against such interference or attacks.
Article 13
(1) Everyone has the right to freedom of movement and residence within the borders of each state.
(2) Everyone has the right to leave any country, including his own, and to return to his country.
Article 14
(1) Everyone has the right to seek and to enjoy in other countries asylum from persecution.
(2) This right may not be invoked in the case of prosecutions genuinely arising from non-political crimes or from acts contrary to the purposes and principles of the United Nations.
Article 15
(1) Everyone has the right to a nationality.
(2) No one shall be arbitrarily deprived of his nationality nor denied the right to change his nationality.
Article 16
(1) Men and women of full age, without any limitation due to race, nationality or religion, have the right to marry and to found a family. They are entitled to equal rights as to marriage, during marriage and at its dissolution.
(2) Marriage shall be entered into only with the free and full consent of the intending spouses.
(3) The family is the natural and fundamental group unit of society and is entitled to protection by society and the State.
Article 17
(1) Everyone has the right to own property alone as well as in association with others.
(2) No one shall be arbitrarily deprived of his property.
Article 18
Everyone has the right to freedom of thought, conscience and religion; this right includes freedom to change his religion or belief, and freedom, either alone or in community with others and in public or private, to manifest his religion or belief in teaching, practice, worship and observance.
Article 19
Everyone has the right to freedom of opinion and expression; this right includes freedom to hold opinions without interference and to seek, receive and impart information and ideas through any media and regardless of frontiers.
Article 20
(1) Everyone has the right to freedom of peaceful assembly and association.
(2) No one may be compelled to belong to an association.
Article 21
(1) Everyone has the right to take part in the government of his country, directly or through freely chosen representatives.
(2) Everyone has the right to equal access to public service in his country.
(3) The will of the people shall be the basis of the authority of government; this will shall be expressed in periodic and genuine elections which shall be by universal and equal suffrage and shall be held by secret vote or by equivalent free voting procedures.
Article 22
Everyone, as a member of society, has the right to social security and is entitled to realization, through national effort and international co-operation and in accordance with the organization and resources of each State, of the economic, social and cultural rights indispensable for his dignity and the free development of his personality.
Article 23
(1) Everyone has the right to work, to free choice of employment, to just and favourable conditions of work and to protection against unemployment.
(2) Everyone, without any discrimination, has the right to equal pay for equal work.
(3) Everyone who works has the right to just and favourable remuneration ensuring for himself and his family an existence worthy of human dignity, and supplemented, if necessary, by other means of social protection.
(4) Everyone has the right to form and to join trade unions for the protection of his interests.
Article 24
Everyone has the right to rest and leisure, including reasonable limitation of working hours and periodic holidays with pay.
Article 25
(1) Everyone has the right to a standard of living adequate for the health and well-being of himself and of his family, including food, clothing, housing and medical care and necessary social services, and the right to security in the event of unemployment, sickness, disability, widowhood, old age or other lack of livelihood in circumstances beyond his control.
(2) Motherhood and childhood are entitled to special care and assistance. All children, whether born in or out of wedlock, shall enjoy the same social protection.
Article 26
(1) Everyone has the right to education. Education shall be free, at least in the elementary and fundamental stages. Elementary education shall be compulsory. Technical and professional education shall be made generally available and higher education shall be equally accessible to all on the basis of merit.
(2) Education shall be directed to the full development of the human personality and to the strengthening of respect for human rights and fundamental freedoms. It shall promote understanding, tolerance and friendship among all nations, racial or religious groups, and shall further the activities of the United Nations for the maintenance of peace.
(3) Parents have a prior right to choose the kind of education that shall be given to their children.
Article 27
(1) Everyone has the right freely to participate in the cultural life of the community, to enjoy the arts and to share in scientific advancement and its benefits.
(2) Everyone has the right to the protection of the moral and material interests resulting from any scientific, literary or artistic production of which he is the author.
Article 28
Everyone is entitled to a social and international order in which the rights and freedoms set forth in this Declaration can be fully realized.
Article 29
(1) Everyone has duties to the community in which alone the free and full development of his personality is possible.
(2) In the exercise of his rights and freedoms, everyone shall be subject only to such limitations as are determined by law solely for the purpose of securing due recognition and respect for the rights and freedoms of others and of meeting the just requirements of morality, public order and the general welfare in a democratic society.
(3) These rights and freedoms may in no case be exercised contrary to the purposes and principles of the United Nations.
Article 30
Nothing in this Declaration may be interpreted as implying for any State, group or person any right to engage in any activity or to perform any act aimed at the destruction of any of the rights and freedoms set forth herein.
รีวิว Canon 70D โดยตี๋ไก่มาแล้วครับ!!
ตอนนี้กล้อง DSLR ตัวท๊อป APS-C ก็ได้เปิดตัวมาพักใหญ่ๆแล้วครับ กับ Canon 70D
สำหรับแฟนๆ DigitalRev TV ก็ยิ่งน่ายินดี เพราะ Kai หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าตี๋ไก่ ก็ได้จับ Canon 70D มารีวิวกันแล้ว!!
โดยครั้งนี้ Kai กับ Lok ได้ร่วมกันรีวิวโดยใช้กล้อง 2 ตัวครับ ตัวหนึ่ง Kai ก็จับไปรีวิวไป ส่วนอีกตัว ก็ใช้ถ่ายทำคลิปที่นำมารีวิวครับ!! ทำให้รีวิวนี้ นอกจากสมรรถภาพต่างๆแล้ว จะเป็นการโชว์วิดีโอจากกล้องตัวนี้เต็มๆเลยครับ!!
จากคลิปรีวิว แม้จะไม่รีวิวเชิงลึก เป็นการถือใช้งานไปเรื่อยๆ แต่จะเห็นชัดเลยครับ ว่าสมรรถนะของ Canon 70D ดีมากๆ อย่างตอนถ่ายต่อเนื่องนกกระยางและอีกหลายๆตอน
และที่สำคัญ ตอนถ่ายวิดีโอครับ มีตอนนึงที่ Kai อยู่ไกล แล้วเดินเข้ากล้องมาเรื่อยๆ จนถึงระยะหนึ่งที่ตัวของ Kai นั้นเริ่มหลุดโฟกัส การโฟกัส Kai กลับมา ทำได้ Smooth และนุ่มมากๆ ไหลลื่นมากๆครับ สำหรับความเห็นผม ผมว่ามันใช้แทนกล้องถ่ายหนังดีๆได้เลยนะครับ ^ ^
สำหรับแฟนๆ DigitalRev TV ก็ยิ่งน่ายินดี เพราะ Kai หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าตี๋ไก่ ก็ได้จับ Canon 70D มารีวิวกันแล้ว!!
โดยครั้งนี้ Kai กับ Lok ได้ร่วมกันรีวิวโดยใช้กล้อง 2 ตัวครับ ตัวหนึ่ง Kai ก็จับไปรีวิวไป ส่วนอีกตัว ก็ใช้ถ่ายทำคลิปที่นำมารีวิวครับ!! ทำให้รีวิวนี้ นอกจากสมรรถภาพต่างๆแล้ว จะเป็นการโชว์วิดีโอจากกล้องตัวนี้เต็มๆเลยครับ!!
และที่สำคัญ ตอนถ่ายวิดีโอครับ มีตอนนึงที่ Kai อยู่ไกล แล้วเดินเข้ากล้องมาเรื่อยๆ จนถึงระยะหนึ่งที่ตัวของ Kai นั้นเริ่มหลุดโฟกัส การโฟกัส Kai กลับมา ทำได้ Smooth และนุ่มมากๆ ไหลลื่นมากๆครับ สำหรับความเห็นผม ผมว่ามันใช้แทนกล้องถ่ายหนังดีๆได้เลยนะครับ ^ ^
ผลสอบ IELTS ออกแล้ว คะแนนบ่งบอกมากๆ ^ ^
ผลสอบ IELTS ออกแล้ว หลังจากที่ผมได้เล่า ประสบการณ์สอบ IELTS กับ IDP ไปแล้ว (ตามไปอ่าน ประสบการสอบ IELTS ได้ที่นี่ครับ)
ตอนนี้คะแนนก็ออกแล้ว ก็ขอมาเล่ากันนิดหน่อย
ผลคะแนนตามนี้ครับ
- Listening : 6.0
- Reading : 7.5
- Writing : 5.0
- Speaking : 5.5
คะแนนรวม Overall 6.0
บอกไว้ก่อนว่านี่คือการสอบ IELTS ครั้งแรก ไม่เคยไปเรียน หรือติวอะไรที่สถาบันไหนเลย ก็ได้แต่ฝึกทำข้อสอบ IELTS ของ Cambridge อยู่บ้างประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนสอบ (อยู่ๆก็รู้ตัวว่าต้องสอบแบบกระชั้นมากๆ -*-)
ดังนั้น คะแนนที่เห็น จึงบ่งบอก "ประสบการณ์ด้านภาษา" ได้ชัดมากๆ สื่อถึงมาตรฐานของข้อสอบได้เป็นอย่างดี ^ ^"
Lifestyle ของผมก็ประมาณนี้ครับ
- ชอบเล่นเกม RPG เวอร์ชั่น ENG มาตั้งแต่ม.ต้น ภาษาญี่ปุ่นไม่สน จะหา ENG มาเล่น แล้วจะไม่ดู Walkthrough เด็ดขาด
- ทุกสัปดาห์ จะต้องอ่านการ์ตูนตอนใหม่ล่าสุดที่ translated เป็นภาษาอังกฤษแล้วมาอ่านจากเวบต่างๆ ทำแบบนี้มาได้ประมาณ 5-7 ปีแล้วครับ
- ชอบฟังเพลงสากล
- ดูหนัง ชอบฟังเสียง ENG และ Subtitle ไทยเสมอ (หนังญี่ปุ่นหรือเกาหลี ก็ฟังเสียงต่างประเทศทั้งหมด แล้วอ่านซับเอา)
- เวบไซต์ที่ชอบเข้าไปอ่านบ่อยๆ มักจะเป็นเวบ ENG
จาก Lifestyle นั้น จุดมุ่งหมายไม่ได้คิดจะรู้ภาษาอังกฤษหรือเพื่อฝึกภาษาเลยแม้แต่น้อย
แต่ทำไปเพื่อ entertain ตัวเองล้วนๆ ^ ^
- ด้านเกม RPG การเล่นสไตล์นี้ ไม่ดู Walkthrough และพยายามสนเรื่องราวมากกว่านั้น จะทำให้เกม RPG สนุกขึ้นมาก บางคนชอบเล่นสไตล์วางแผน เก็บ Item ผสมคาถาให้เทพๆ ... แต่ผมว่าเล่นแบบเอาเนื้อเรื่อง และอินกับเรื่อง จะสนุกกว่าเยอะ เพราะ RPG หลายๆเกมวางพล็อตดีมากๆ เหมือนนิยายหนาๆเล่มหนึ่งเลยทีเดียว
- จริงๆก็มีเวบแปลไทยอยู่บ้างครับ แต่ลองอ่านแล้วแปลไม่ค่อยดี ไม่ใช่ว่าเค้าแปลผิดนะ แต่การใช้ศัพท์ใช้แสง มัน "อ่านไม่สนุก" อ่าน ENG สนุกกว่าเยอะครับ ... ป่าวกระแดะนะ แต่เรื่องจริง ไม่เชื่อลองดูได้ เหมือนคนที่แปลญี่ปุ่นเป็น ENG เค้าจะเชี่ยวชาญการใช้คำให้อินกับเนื้อเรื่องได้ดีกว่าน่ะครับ (อย่างนารุโตะ ถ้าอ่านของลิขสิทธิ์ Viz media จะแปลญี่ปุ่นไปอังกฤษได้เทพไปอีกขั้นครับ)
- ชอบฟังเพลงสากล อันนี้ก็เป็นความชอบส่วนตัวเท่านั้นเอง เพราะทำนองเพลงมันตรงหูมากกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าฟังเพลงเพื่อฝึกภาษา
- ดูหนังก็ต้อง Subtitle เท่านั้น เพราะว่าเสียงพากย์กับเสียงต้นฉบับ มันสื่ออารมณ์ต่างกันมาก จะเห็นชัดในกลุ่มการ์ตูนญี่ปุ่นครับ การ์ตูนอนิเมชั่นญี่ปุ่นจะพากย์เหมือนพากย์หนัง แต่พอมาประเทศไทย พากย์แบบต้องดัดเสียงการ์ตูนๆ หมดอารมณ์มากๆครับ
- เวบไซต์ที่เข้าส่วนใหญ่เป็นเวบ ENG เพราะ Lifestyle มันผลักดันให้ต้องเข้าเวบ ENG เนื่องจากข้อมูลต่างๆเวบ ENG จะมีเยอะกว่า ... ยกตัวอย่างเช่น ผมชอบเพลงสากล เวลาจะค้นข้อมูลเกี่ยวกับเพลง ก็คงเป็นส่วนน้อยที่จะเข้าเวบภาษาไทย
สรุป จาก Lifestyle
1. ประสบการณ์การอ่าน ผมเยอะมาก แถมเป็นการอ่านแบบว่า ศัพท์ไหนไม่รู้ก็ข้ามด้วยนะครับ ไม่ได้มานั่งเปิดดิกแปลมันให้รู้ทั้งหมด ผลคือ Reading 7.5
2. การเขียน ผมเขียนบ่อยเหมือนกัน นั่นก็คือการส่ง SMS ภาษาอังกฤษสั้นๆ แต่เป็นประโยคง่ายๆ ไม่เคยตรวจสอบความถูกต้องของตัวเองเลย ผลคือ Writing 5.0 แย่ที่สุด
3. Speaking นั้นมีประสบการณ์น้อยสุด (จะให้ชั้นไปหา native speaker ที่ไหนมาคุยด้วยล่ะ) แต่ผลจากการอ่านการ์ตูนส่งผลให้เอาตัวรอดมาได้ที่ 5.5
4. การชอบฟังเพลงหลายแนวและเป็นเพลงสากล ช่วยให้เอาตัวรอดด้าน Listening มาได้ที่ 6.0 ส่วนหนังไม่ค่อยช่วย เพราะเป็น Sub ไทย เหอๆๆ (คิดว่าถ้าตัวเองดูหนัง Sub ENG ประจำ น่าจะเก่ง Listening มากกว่านี้)
เมื่อสัปดาห์ก่อน ทาง British Council เค้าจัดสัมมนาฟรีที่เชอราตันสุขุมวิท ก็ไปฟังเค้าด้วย
มีอาจารย์ต่างชาติ พูดเรื่อง Reading ว่าควรอ่านบ่อยๆ แต่อย่าไปอ่านนิยาย หรือการ์ตูน ควรอ่านให้หลากหลาย
แต่ส่วนตัวเห็นต่างครับ อ่านการ์ตูนหรือนิยายได้ครับ แต่ควรจะ "อ่านให้หลายแนว" ... ไม่ใช่ว่าอ่านนิยาย ก็มีแต่นิยายรัก รัก รัก มีแต่นิยายรักอย่างเดียว เท่านั้นเองครับ
ถ้าคุณอ่านนิยายไซไฟ อ่านนิยายวิทยาศาสตร์ อ่านนิยายรัก อ่านนิยายย้อนยุคพีเรียดประวัติศาสตร์ อ่านนิยายฆาตรกรรมสีบสวนสอบสวน ... อ่านหลายๆแนวแบบนี้ ผมว่าช่วยได้ครับ
ขนาดผมเอง อ่านแต่การ์ตูนนะ แต่การ์ตูนที่ตาม ENG ประจำทั้งที่จบแล้วและยังไม่จบ ก็ยกตัวอย่างเช่น Death Note, Bakuman สองเรื่องนี้ศัพท์เยอะนะครับ ไม่ไก่กา Hunter X Hunter ก็จะมีศัพท์เยอะๆสลับกับเนื้อเรื่องบู๊ๆ หรือ Onepiece เองก็ได้เยอะ (แต่ผมว่า Naruto กับ Bleach ไม่ค่อยช่วยมาก) แล้วก็มีอีกหลายเรื่องครับ ที่ผมอ่าน
อ้อ แล้วข้อดีของการ์ตูนก็คือ ช่วยให้เราเดา Context ได้เก่ง เพราะรูปภาพมันจะมาพร้อมประโยค ทำให้เรารู้คำเองโดยไม่ต้องไปเปิดพจนานุกรม (ผมอ่านการ์ตูนเอาสนุก เจอคำไม่รู้ ผมก็ไม่เปิดดูร้อก ว่าแปลว่าอะไร)
ผมก็เลยคิดว่า ขนาดผมอ่านเอาสนุก(การ์ตูนอย่างเดียวนะ นิยายไม่อ่าน) ยังได้ Reading มา 7.5
แต่ถ้าอ่านเอาจริงจัง มีหรือจะไม่มีประโยชน์ ^ ^
(ตอนแรกคิดว่าได้ 7.5 มาฟลุคๆ แต่ตอนไปฟังบรรยาย แล้วเค้าให้ลองทำดูสั้นๆ ใช้เวลาอ่านสั้นมากๆ ผมก็ตอบถูกหมดทั้ง 3 ข้อที่เค้าให้ลองทำนะ ก็คงไม่ฟลุคหรอกมั้ง)
ตอนนี้คะแนนก็ออกแล้ว ก็ขอมาเล่ากันนิดหน่อย
ผลคะแนนตามนี้ครับ
- Listening : 6.0
- Reading : 7.5
- Writing : 5.0
- Speaking : 5.5
คะแนนรวม Overall 6.0
บอกไว้ก่อนว่านี่คือการสอบ IELTS ครั้งแรก ไม่เคยไปเรียน หรือติวอะไรที่สถาบันไหนเลย ก็ได้แต่ฝึกทำข้อสอบ IELTS ของ Cambridge อยู่บ้างประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนสอบ (อยู่ๆก็รู้ตัวว่าต้องสอบแบบกระชั้นมากๆ -*-)
ดังนั้น คะแนนที่เห็น จึงบ่งบอก "ประสบการณ์ด้านภาษา" ได้ชัดมากๆ สื่อถึงมาตรฐานของข้อสอบได้เป็นอย่างดี ^ ^"
Lifestyle ของผมก็ประมาณนี้ครับ
- ชอบเล่นเกม RPG เวอร์ชั่น ENG มาตั้งแต่ม.ต้น ภาษาญี่ปุ่นไม่สน จะหา ENG มาเล่น แล้วจะไม่ดู Walkthrough เด็ดขาด
- ทุกสัปดาห์ จะต้องอ่านการ์ตูนตอนใหม่ล่าสุดที่ translated เป็นภาษาอังกฤษแล้วมาอ่านจากเวบต่างๆ ทำแบบนี้มาได้ประมาณ 5-7 ปีแล้วครับ
- ชอบฟังเพลงสากล
- ดูหนัง ชอบฟังเสียง ENG และ Subtitle ไทยเสมอ (หนังญี่ปุ่นหรือเกาหลี ก็ฟังเสียงต่างประเทศทั้งหมด แล้วอ่านซับเอา)
- เวบไซต์ที่ชอบเข้าไปอ่านบ่อยๆ มักจะเป็นเวบ ENG
จาก Lifestyle นั้น จุดมุ่งหมายไม่ได้คิดจะรู้ภาษาอังกฤษหรือเพื่อฝึกภาษาเลยแม้แต่น้อย
แต่ทำไปเพื่อ entertain ตัวเองล้วนๆ ^ ^
- ด้านเกม RPG การเล่นสไตล์นี้ ไม่ดู Walkthrough และพยายามสนเรื่องราวมากกว่านั้น จะทำให้เกม RPG สนุกขึ้นมาก บางคนชอบเล่นสไตล์วางแผน เก็บ Item ผสมคาถาให้เทพๆ ... แต่ผมว่าเล่นแบบเอาเนื้อเรื่อง และอินกับเรื่อง จะสนุกกว่าเยอะ เพราะ RPG หลายๆเกมวางพล็อตดีมากๆ เหมือนนิยายหนาๆเล่มหนึ่งเลยทีเดียว
- จริงๆก็มีเวบแปลไทยอยู่บ้างครับ แต่ลองอ่านแล้วแปลไม่ค่อยดี ไม่ใช่ว่าเค้าแปลผิดนะ แต่การใช้ศัพท์ใช้แสง มัน "อ่านไม่สนุก" อ่าน ENG สนุกกว่าเยอะครับ ... ป่าวกระแดะนะ แต่เรื่องจริง ไม่เชื่อลองดูได้ เหมือนคนที่แปลญี่ปุ่นเป็น ENG เค้าจะเชี่ยวชาญการใช้คำให้อินกับเนื้อเรื่องได้ดีกว่าน่ะครับ (อย่างนารุโตะ ถ้าอ่านของลิขสิทธิ์ Viz media จะแปลญี่ปุ่นไปอังกฤษได้เทพไปอีกขั้นครับ)
- ชอบฟังเพลงสากล อันนี้ก็เป็นความชอบส่วนตัวเท่านั้นเอง เพราะทำนองเพลงมันตรงหูมากกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าฟังเพลงเพื่อฝึกภาษา
- ดูหนังก็ต้อง Subtitle เท่านั้น เพราะว่าเสียงพากย์กับเสียงต้นฉบับ มันสื่ออารมณ์ต่างกันมาก จะเห็นชัดในกลุ่มการ์ตูนญี่ปุ่นครับ การ์ตูนอนิเมชั่นญี่ปุ่นจะพากย์เหมือนพากย์หนัง แต่พอมาประเทศไทย พากย์แบบต้องดัดเสียงการ์ตูนๆ หมดอารมณ์มากๆครับ
- เวบไซต์ที่เข้าส่วนใหญ่เป็นเวบ ENG เพราะ Lifestyle มันผลักดันให้ต้องเข้าเวบ ENG เนื่องจากข้อมูลต่างๆเวบ ENG จะมีเยอะกว่า ... ยกตัวอย่างเช่น ผมชอบเพลงสากล เวลาจะค้นข้อมูลเกี่ยวกับเพลง ก็คงเป็นส่วนน้อยที่จะเข้าเวบภาษาไทย
สรุป จาก Lifestyle
1. ประสบการณ์การอ่าน ผมเยอะมาก แถมเป็นการอ่านแบบว่า ศัพท์ไหนไม่รู้ก็ข้ามด้วยนะครับ ไม่ได้มานั่งเปิดดิกแปลมันให้รู้ทั้งหมด ผลคือ Reading 7.5
2. การเขียน ผมเขียนบ่อยเหมือนกัน นั่นก็คือการส่ง SMS ภาษาอังกฤษสั้นๆ แต่เป็นประโยคง่ายๆ ไม่เคยตรวจสอบความถูกต้องของตัวเองเลย ผลคือ Writing 5.0 แย่ที่สุด
3. Speaking นั้นมีประสบการณ์น้อยสุด (จะให้ชั้นไปหา native speaker ที่ไหนมาคุยด้วยล่ะ) แต่ผลจากการอ่านการ์ตูนส่งผลให้เอาตัวรอดมาได้ที่ 5.5
4. การชอบฟังเพลงหลายแนวและเป็นเพลงสากล ช่วยให้เอาตัวรอดด้าน Listening มาได้ที่ 6.0 ส่วนหนังไม่ค่อยช่วย เพราะเป็น Sub ไทย เหอๆๆ (คิดว่าถ้าตัวเองดูหนัง Sub ENG ประจำ น่าจะเก่ง Listening มากกว่านี้)
เมื่อสัปดาห์ก่อน ทาง British Council เค้าจัดสัมมนาฟรีที่เชอราตันสุขุมวิท ก็ไปฟังเค้าด้วย
มีอาจารย์ต่างชาติ พูดเรื่อง Reading ว่าควรอ่านบ่อยๆ แต่อย่าไปอ่านนิยาย หรือการ์ตูน ควรอ่านให้หลากหลาย
แต่ส่วนตัวเห็นต่างครับ อ่านการ์ตูนหรือนิยายได้ครับ แต่ควรจะ "อ่านให้หลายแนว" ... ไม่ใช่ว่าอ่านนิยาย ก็มีแต่นิยายรัก รัก รัก มีแต่นิยายรักอย่างเดียว เท่านั้นเองครับ
ถ้าคุณอ่านนิยายไซไฟ อ่านนิยายวิทยาศาสตร์ อ่านนิยายรัก อ่านนิยายย้อนยุคพีเรียดประวัติศาสตร์ อ่านนิยายฆาตรกรรมสีบสวนสอบสวน ... อ่านหลายๆแนวแบบนี้ ผมว่าช่วยได้ครับ
ขนาดผมเอง อ่านแต่การ์ตูนนะ แต่การ์ตูนที่ตาม ENG ประจำทั้งที่จบแล้วและยังไม่จบ ก็ยกตัวอย่างเช่น Death Note, Bakuman สองเรื่องนี้ศัพท์เยอะนะครับ ไม่ไก่กา Hunter X Hunter ก็จะมีศัพท์เยอะๆสลับกับเนื้อเรื่องบู๊ๆ หรือ Onepiece เองก็ได้เยอะ (แต่ผมว่า Naruto กับ Bleach ไม่ค่อยช่วยมาก) แล้วก็มีอีกหลายเรื่องครับ ที่ผมอ่าน
อ้อ แล้วข้อดีของการ์ตูนก็คือ ช่วยให้เราเดา Context ได้เก่ง เพราะรูปภาพมันจะมาพร้อมประโยค ทำให้เรารู้คำเองโดยไม่ต้องไปเปิดพจนานุกรม (ผมอ่านการ์ตูนเอาสนุก เจอคำไม่รู้ ผมก็ไม่เปิดดูร้อก ว่าแปลว่าอะไร)
ผมก็เลยคิดว่า ขนาดผมอ่านเอาสนุก(การ์ตูนอย่างเดียวนะ นิยายไม่อ่าน) ยังได้ Reading มา 7.5
แต่ถ้าอ่านเอาจริงจัง มีหรือจะไม่มีประโยชน์ ^ ^
(ตอนแรกคิดว่าได้ 7.5 มาฟลุคๆ แต่ตอนไปฟังบรรยาย แล้วเค้าให้ลองทำดูสั้นๆ ใช้เวลาอ่านสั้นมากๆ ผมก็ตอบถูกหมดทั้ง 3 ข้อที่เค้าให้ลองทำนะ ก็คงไม่ฟลุคหรอกมั้ง)
ระเบียบการลา ของข้าราชการ
รวมระเบียบการลา ของข้าราชการครับ
ลาแบบไหนทำอะไรยังไง มีระเบียบยังไง ก็ตามนี้เลยครับ ^ ^
1. การนับวันลาข้าราชการ
2. การลาป่วยของข้าราชการ
3. การลาคลอดบุตรข้าราชการ
4. การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
5. การลากิจส่วนตัวของข้าราชการ
6. การลาพักผ่อนของข้าราชการ
7. การลาบวชของข้าราชการ
8. การลาเกณฑ์ทหารของข้าราชการ
9. การลาศึกษาต่อ อบรม ปฏิบัติงานวิจัยของข้าราชการ
10. การลาไปปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศ
11. การลาติดตามคู่สมรส
ทีนี้ก็ไม่ต้องลาถูกลาผิดกันอีกแล้วนะครับ
ลาแบบไหนทำอะไรยังไง มีระเบียบยังไง ก็ตามนี้เลยครับ ^ ^
1. การนับวันลาข้าราชการ
2. การลาป่วยของข้าราชการ
3. การลาคลอดบุตรข้าราชการ
4. การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
5. การลากิจส่วนตัวของข้าราชการ
6. การลาพักผ่อนของข้าราชการ
7. การลาบวชของข้าราชการ
8. การลาเกณฑ์ทหารของข้าราชการ
9. การลาศึกษาต่อ อบรม ปฏิบัติงานวิจัยของข้าราชการ
10. การลาไปปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศ
11. การลาติดตามคู่สมรส
ทีนี้ก็ไม่ต้องลาถูกลาผิดกันอีกแล้วนะครับ
กรี๊ด Cae Villa Hua Hin พูลวิลล่าเปิดใหม่ น่าพักมว๊ากกก!!
เห็นแล้วอยากจะกรี๊ดจริงๆ!! เพราะว่าส่วนตัวเพิ่งมีทริปไปหัวหินมาไม่นานมานี้ ... ผ่านมาเดือนสองเดือน ก็มาเจอ Pool Villa เปิดใหม่ ราคาถูก!! แถมสวยมากกก!! เปิดตัวให้เจ็บใจเล่นซะงั้น!!
แบบว่าบ้านผมไม่ได้อยู่กทม. ไปหัวหินทีนี่ก็ขับรถไกลนะ ไม่ได้ไปกันบ่อยๆ ... เจองี้ เซ็งเลย!!
เอาล่ะ หลังจากระบายความอัดอั้น ... ก็มาดูที่พักที่น่าสนใจแห่งนี้กันเลยดีกว่าครับ
ที่นี่คือ Cae Villa Hua Hin Resort ครับ เป็นโรงแรมรีสอร์ทที่มีห้องพักแบบ Pool Villa แถมราคา ... ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ!! (เค้าเปิดใหม่อ่ะ ราคาโปรแน่ๆ อีกไม่นานราคาแรงแน่เลย กรี๊ดด!! ไม่นะ!!)
เข้าไปดูในห้องพักกันเลยดีกว่า!! ... เห็นอะไรไหม? สระว่ายน้ำส่วนตัว!! Pool Villa!!
บางคนอาจจะงงว่า มันจะโวยวายหรือกรี๊ดอะไรนักหนา รีสอร์ทนี้ดูสวยมากก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นที่แรกที่สวยแบบนี้ ...
ไม่ต้องงงครับ ... ถ้าบอกราคา คุณต้องสนใจแน่นอน!!
ตอนที่ผมกำลังพิมพ์อยู่เนี่ย เค้ามีโปรเปิดใหม่ซิงๆ จอง 1 คืน ฟรี 1 คืน (พูดง่ายๆคือ 2 คืน) ในราคา 5,000 บาทในวันธรรมดาและ 6,900 บาทในวันหยุด!!
ถูกมากๆ เปิดตัวได้ยั่วใจมาก ถ้าบ้านอยู่อนุสาวรีย์จะจองแล้วนั่งรถตู้ไปลงทันที!!
คิดง่ายๆ Pool Villa คืนเดียวราคา 5,000 นี่ถูกมากแล้วนะครับ แต่นี่ได้สองคืนอ่ะ!!
...
แล้วมาดูกันต่อครับ ว่า Pool villa ของ Cae Hua Hin เค้าไม่ได้ไก่กา จับสระว่ายน้ำมายัดเอาง่ายๆนะเออ การตกแต่งเอย อะไรเอย ... ดูดีมากกก!!! มีโซนลิฟวิ่งกว้างขวาง
และนี่คือสระว่ายน้ำครับ มีเดย์เบดสไตล์โซฟาแปะอยู่ที่มุมหนึ่ง ดูดีมีชาติตระกูลเกินราคามากๆ
เตียงนอนล่ะ ... สวยอีกต่างหาก หรูหรา อู่ฟู่ ดูดีมากๆ
วิลล่าเค้าก็วิลล่าจริงจังครับ ไม่ได้มีแค่ห้องแคบๆแล้วแปะสระว่ายน้ำ ... มีมุมนั้นมุมนี้ โอย สวยงามมากๆ
และทีเด็ด ไม่ใช่แค่สระว่ายน้ำ ... ดูอ่างอาบน้ำเค้าซะก่อน นี่ก็น่าแช่ เป็น Outdoor Bath Tub ที่น่าสนใจสุดๆ เพราะซีกหนึ่ง เป็นแบบโปร่งใสซะด้วย กึ๋ยๆ ^ ^
อ่างอาบน้ำหรูมาก เท่มาก
เป็นโรงแรมรีสอร์ทเปิดใหม่ ที่เปิดตัวผิดเวลา (สำหรับผมคนเดียว) ถ้าเปิดไวกว่านี้คงได้ไปพักแล้ว T-T ... เศร้ามาก T-T
ราคาแบบนี้หาไม่ได้แล้ว ... พอผมได้เวลาไปเที่ยวหัวหินอีกที ราคาขึ้นแน่ๆเยยอ่ะ -*-
คือไม่รู้คนอื่นเห็นด้วยไหม? หน้าตาห้องพักแบบนี้ ไปตั้งอยู่ภูเก็ต หรือติดทะเลด้วยล่ะก็ ... ผมว่า 9,000-12,000 บาทอ่ะ ... ยิ่งถ้ามี Facilities เยอะๆด้วยแล้ว เกินหมื่นแน่นอน
แต่นี่ราคา 2 คืนอยู่ที่ 5,000 บาทอ่ะ -*- ... เสียดายจริงๆ
ใครมาทันจองทันพักทันก็รีบไปพักนะจ้ะ ก่อนราคาจะขึ้น (ผมเดาเอาเองอ่ะนะ ว่าคงราคาขึ้นในอนาคต ... แต่ถ้าราคานี้ตลอดไปจะดีมากเลย รอบหน้าที่ไปหัวหินพักที่นี่แน่นอน ฮุฮุฮุ)
ตามดูรายละเอียดและจองที่พักได้จากเวบไซต์ http://caevillahuahin.com กันได้เลยครับ
ส่วนรูปต่างๆผมนำมาจากทาง facebook ของทางรีสอร์ทที่ https://www.facebook.com/CaeVillaHuaHin ซึ่งก็ไปตามเยี่ยมชมกันได้เช่นกันครับ
แบบว่าบ้านผมไม่ได้อยู่กทม. ไปหัวหินทีนี่ก็ขับรถไกลนะ ไม่ได้ไปกันบ่อยๆ ... เจองี้ เซ็งเลย!!
เอาล่ะ หลังจากระบายความอัดอั้น ... ก็มาดูที่พักที่น่าสนใจแห่งนี้กันเลยดีกว่าครับ
ที่นี่คือ Cae Villa Hua Hin Resort ครับ เป็นโรงแรมรีสอร์ทที่มีห้องพักแบบ Pool Villa แถมราคา ... ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ!! (เค้าเปิดใหม่อ่ะ ราคาโปรแน่ๆ อีกไม่นานราคาแรงแน่เลย กรี๊ดด!! ไม่นะ!!)
เข้าไปดูในห้องพักกันเลยดีกว่า!! ... เห็นอะไรไหม? สระว่ายน้ำส่วนตัว!! Pool Villa!!
บางคนอาจจะงงว่า มันจะโวยวายหรือกรี๊ดอะไรนักหนา รีสอร์ทนี้ดูสวยมากก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นที่แรกที่สวยแบบนี้ ...
ไม่ต้องงงครับ ... ถ้าบอกราคา คุณต้องสนใจแน่นอน!!
ตอนที่ผมกำลังพิมพ์อยู่เนี่ย เค้ามีโปรเปิดใหม่ซิงๆ จอง 1 คืน ฟรี 1 คืน (พูดง่ายๆคือ 2 คืน) ในราคา 5,000 บาทในวันธรรมดาและ 6,900 บาทในวันหยุด!!
ถูกมากๆ เปิดตัวได้ยั่วใจมาก ถ้าบ้านอยู่อนุสาวรีย์จะจองแล้วนั่งรถตู้ไปลงทันที!!
คิดง่ายๆ Pool Villa คืนเดียวราคา 5,000 นี่ถูกมากแล้วนะครับ แต่นี่ได้สองคืนอ่ะ!!
...
แล้วมาดูกันต่อครับ ว่า Pool villa ของ Cae Hua Hin เค้าไม่ได้ไก่กา จับสระว่ายน้ำมายัดเอาง่ายๆนะเออ การตกแต่งเอย อะไรเอย ... ดูดีมากกก!!! มีโซนลิฟวิ่งกว้างขวาง
และนี่คือสระว่ายน้ำครับ มีเดย์เบดสไตล์โซฟาแปะอยู่ที่มุมหนึ่ง ดูดีมีชาติตระกูลเกินราคามากๆ
เตียงนอนล่ะ ... สวยอีกต่างหาก หรูหรา อู่ฟู่ ดูดีมากๆ
วิลล่าเค้าก็วิลล่าจริงจังครับ ไม่ได้มีแค่ห้องแคบๆแล้วแปะสระว่ายน้ำ ... มีมุมนั้นมุมนี้ โอย สวยงามมากๆ
และทีเด็ด ไม่ใช่แค่สระว่ายน้ำ ... ดูอ่างอาบน้ำเค้าซะก่อน นี่ก็น่าแช่ เป็น Outdoor Bath Tub ที่น่าสนใจสุดๆ เพราะซีกหนึ่ง เป็นแบบโปร่งใสซะด้วย กึ๋ยๆ ^ ^
อ่างอาบน้ำหรูมาก เท่มาก
เป็นโรงแรมรีสอร์ทเปิดใหม่ ที่เปิดตัวผิดเวลา (สำหรับผมคนเดียว) ถ้าเปิดไวกว่านี้คงได้ไปพักแล้ว T-T ... เศร้ามาก T-T
ราคาแบบนี้หาไม่ได้แล้ว ... พอผมได้เวลาไปเที่ยวหัวหินอีกที ราคาขึ้นแน่ๆเยยอ่ะ -*-
คือไม่รู้คนอื่นเห็นด้วยไหม? หน้าตาห้องพักแบบนี้ ไปตั้งอยู่ภูเก็ต หรือติดทะเลด้วยล่ะก็ ... ผมว่า 9,000-12,000 บาทอ่ะ ... ยิ่งถ้ามี Facilities เยอะๆด้วยแล้ว เกินหมื่นแน่นอน
แต่นี่ราคา 2 คืนอยู่ที่ 5,000 บาทอ่ะ -*- ... เสียดายจริงๆ
ใครมาทันจองทันพักทันก็รีบไปพักนะจ้ะ ก่อนราคาจะขึ้น (ผมเดาเอาเองอ่ะนะ ว่าคงราคาขึ้นในอนาคต ... แต่ถ้าราคานี้ตลอดไปจะดีมากเลย รอบหน้าที่ไปหัวหินพักที่นี่แน่นอน ฮุฮุฮุ)
ตามดูรายละเอียดและจองที่พักได้จากเวบไซต์ http://caevillahuahin.com กันได้เลยครับ
ส่วนรูปต่างๆผมนำมาจากทาง facebook ของทางรีสอร์ทที่ https://www.facebook.com/CaeVillaHuaHin ซึ่งก็ไปตามเยี่ยมชมกันได้เช่นกันครับ
Villa Gris รีสอร์ทใหม่ที่ปราณบุรี น่าสนมากๆ ^ ^
มีที่พัก โรงแรมรีสอร์ทเปิดใหม่ที่ปราณบุรีมาแนะนำครับ
ที่พักแห่งนี้ชื่อว่า Villa Gris Pranburi ครับ เท่าที่เห็นรูปภาพ หน้าตาห้องพักและราคา จัดว่าน่าสนใจมากๆครับ แล้วก็เพิ่งเปิดใหม่ด้วย ก็เลยอยากนำมาแนะนำและบอกต่อครับ ^ ^
ที่พักเป็นตัวอาคาร ที่มีสระว่ายน้ำอยู่ด้านล่างครับ ห้องพักดูแล้วมีระเบียงกว้างขวางโปร่งสบายตา มีลูกเล่นในการตกแต่งให้ดูสวยงามด้วยครับ
มุมจากสระว่ายน้ำครับ จะเห็นว่าห้องด้านล่างนี่เสมือนเป็นห้องแบบ Pool Access กลายๆเลยครับ อาจจะแลกกับความเป็นส่วนตัวนิดหน่อย หากมีคนมาว่ายน้ำกันเยอะและส่งเสียงดังบ้าง แต่ก็จะใกล้กับสระว่ายน้ำกว่าใคร
มุมจากสระว่ายน้ำไปยังห้องพักด้านล่างครับ
ภาพจากในห้องพักด้านล่าง มองเห็นสระว่ายน้ำครับ
สภาพห้องพักของ Villa Gris ดูโปร่ง กว้าง เพดานสูง ตกแต่งหรูเรียบง่าย น่าสนใจ
แม้จะดูเรียบๆ แต่ก็สวยงามลงตัวครับ เพราะเค้าแฝงไอเดียและลูกเล่นในการตกแต่งเอาไว้ด้วย ทำให้ลักษณะที่พักดูมีสไตล์น่าสนใจ
น่าจะเป็นห้องแบบ Family ครับ ใครไปกันเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนหลายคนก็พักห้อง type นี้ได้ ^ ^
บางห้องก็จะมีโซน living room ให้แบบนี้เลย ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะครับ ^ ^
ส่วนตัวเห็นว่าน่าสนใจครับ ก็เลยนำมาบอกต่อกันสำหรับที่พักเปิดใหม่อย่าง Villa Gris แห่งนี้
เพิ่งเปิดใหม่ ห้องก็ยังใหม่ๆ ใครสนใจจะไปลองก่อนใครก็รีบไปลองใช้บริการได้ครับ ^ ^
ภาพทั้งหมดนำมาจาก facebook ของทาง Villa Gris ที่ https://www.facebook.com/pages/Villa-Gris/597446100300361 สนใจก็เข้าไปดูรายละเอียดหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ ^ ^
ที่พักแห่งนี้ชื่อว่า Villa Gris Pranburi ครับ เท่าที่เห็นรูปภาพ หน้าตาห้องพักและราคา จัดว่าน่าสนใจมากๆครับ แล้วก็เพิ่งเปิดใหม่ด้วย ก็เลยอยากนำมาแนะนำและบอกต่อครับ ^ ^
ที่พักเป็นตัวอาคาร ที่มีสระว่ายน้ำอยู่ด้านล่างครับ ห้องพักดูแล้วมีระเบียงกว้างขวางโปร่งสบายตา มีลูกเล่นในการตกแต่งให้ดูสวยงามด้วยครับ
มุมจากสระว่ายน้ำครับ จะเห็นว่าห้องด้านล่างนี่เสมือนเป็นห้องแบบ Pool Access กลายๆเลยครับ อาจจะแลกกับความเป็นส่วนตัวนิดหน่อย หากมีคนมาว่ายน้ำกันเยอะและส่งเสียงดังบ้าง แต่ก็จะใกล้กับสระว่ายน้ำกว่าใคร
มุมจากสระว่ายน้ำไปยังห้องพักด้านล่างครับ
ภาพจากในห้องพักด้านล่าง มองเห็นสระว่ายน้ำครับ
สภาพห้องพักของ Villa Gris ดูโปร่ง กว้าง เพดานสูง ตกแต่งหรูเรียบง่าย น่าสนใจ
แม้จะดูเรียบๆ แต่ก็สวยงามลงตัวครับ เพราะเค้าแฝงไอเดียและลูกเล่นในการตกแต่งเอาไว้ด้วย ทำให้ลักษณะที่พักดูมีสไตล์น่าสนใจ
น่าจะเป็นห้องแบบ Family ครับ ใครไปกันเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนหลายคนก็พักห้อง type นี้ได้ ^ ^
บางห้องก็จะมีโซน living room ให้แบบนี้เลย ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะครับ ^ ^
ส่วนตัวเห็นว่าน่าสนใจครับ ก็เลยนำมาบอกต่อกันสำหรับที่พักเปิดใหม่อย่าง Villa Gris แห่งนี้
เพิ่งเปิดใหม่ ห้องก็ยังใหม่ๆ ใครสนใจจะไปลองก่อนใครก็รีบไปลองใช้บริการได้ครับ ^ ^
ภาพทั้งหมดนำมาจาก facebook ของทาง Villa Gris ที่ https://www.facebook.com/pages/Villa-Gris/597446100300361 สนใจก็เข้าไปดูรายละเอียดหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ ^ ^
การลาติดตามคู่สมรส ข้าราชการ
ข้อ ๓๖ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาติดตามคู่สมรส ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ลาได้ไม่เกิน ๒ ปี และในกรณีจำเป็นอาจอนุญาตให้ลาต่อได้อีก ๒ ปี แต่เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกิน ๔ ปี ถ้าเกิน ๔ ปีให้ลาออกจากราชการ
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นปลัดกระทรวง หรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด
ข้อ ๓๗ การพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการลาติดตามคู่สมรส ผู้มีอำนาจอนุญาตจะอนุญาตให้ลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้โดยมิให้เสียหายแก่ราชการ แต่เมื่อรวมแล้วจะต้องไม่เกินระยะเวลาตามที่กำหนดในข้อ ๓๖ และจะต้องเป็นกรณีที่คู่สมรสอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือปฏิบัติงานในต่างประเทศเป็นระยะเวลาติดต่อกัน ไม่ว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานในประเทศเดียวกันหรือไม่
ข้อ ๓๘ ข้าราชการที่ได้ลาติดตามคู่สมรสครบกำหนดระยะเวลาตามข้อ ๓๖ ในระหว่างเวลาที่คู่สมรสอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานในต่างประเทศติดต่อกันคราวหนึ่งแล้ว ไม่มีสิทธิขอลาติดตามคู่สมรสอีก เว้นแต่คู่สมรสจะได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานประจำในประเทศไทยแล้วต่อมาได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือไปปฏิบัติงานในต่างประเทศอีก จึงจะมีสิทธิขอลาติดตามคู่สมรสตามข้อ ๓๖ ได้ใหม่
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นปลัดกระทรวง หรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด
ข้อ ๓๗ การพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการลาติดตามคู่สมรส ผู้มีอำนาจอนุญาตจะอนุญาตให้ลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้โดยมิให้เสียหายแก่ราชการ แต่เมื่อรวมแล้วจะต้องไม่เกินระยะเวลาตามที่กำหนดในข้อ ๓๖ และจะต้องเป็นกรณีที่คู่สมรสอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือปฏิบัติงานในต่างประเทศเป็นระยะเวลาติดต่อกัน ไม่ว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานในประเทศเดียวกันหรือไม่
ข้อ ๓๘ ข้าราชการที่ได้ลาติดตามคู่สมรสครบกำหนดระยะเวลาตามข้อ ๓๖ ในระหว่างเวลาที่คู่สมรสอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานในต่างประเทศติดต่อกันคราวหนึ่งแล้ว ไม่มีสิทธิขอลาติดตามคู่สมรสอีก เว้นแต่คู่สมรสจะได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานประจำในประเทศไทยแล้วต่อมาได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือไปปฏิบัติงานในต่างประเทศอีก จึงจะมีสิทธิขอลาติดตามคู่สมรสตามข้อ ๓๖ ได้ใหม่
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ข้าราชการ
ข้อ ๓๔ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณาอนุญาต โดยถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ
ข้อ ๓๕ ข้าราชการที่ลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๑ ปี เมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จ ให้รายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันครบกำหนดเวลาและให้รายงานผลเกี่ยวกับการลาไปปฏิบัติงานให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ข้อ ๓๕ ข้าราชการที่ลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๑ ปี เมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จ ให้รายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันครบกำหนดเวลาและให้รายงานผลเกี่ยวกับการลาไปปฏิบัติงานให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาศึกษาต่อ ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย หรือดูงาน ข้าราชการ
ข้อ ๓๓ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย หรือดูงานในประเทศหรือต่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการ ยกเว้นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาต
การอนุญาตของหัวหน้าส่วนราชการตามวรรคหนึ่ง เมื่ออนุญาตแล้วให้รายงานปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี ทราบด้วย
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ถ้าเป็นหัวหน้าส่วนราชการให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาต
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การอนุญาตของหัวหน้าส่วนราชการตามวรรคหนึ่ง เมื่ออนุญาตแล้วให้รายงานปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี ทราบด้วย
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ถ้าเป็นหัวหน้าส่วนราชการให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุญาต
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาเกณฑ์ทหาร ลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล ข้าราชการ
ข้อ ๓๑ ข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการตรวจเลือก ให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาก่อนวันเข้ารับการตรวจเลือกไม่น้อยกว่า ๔๘ ชั่วโมง ส่วนข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับการเตรียมพลให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาภายใน ๔๘ ชั่วโมงนับแต่เวลารับหมายเรียกเป็นต้นไปและให้ไปเข้ารับการตรวจเลือก หรือเข้ารับการเตรียมพลตามวันเวลาในหมายเรียกนั้นโดยไม่ต้องรอรับคำสั่งอนุญาต และให้ผู้บังคับบัญชาเสนอรายงานลาไปตามลำดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงหรือหัวหน้าส่วนราชการ
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้รายงานลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ถ้าเป็นหัวหน้าส่วนราชการให้รายงานลาต่อปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงแล้วแต่กรณี
ข้อ ๓๒ เมื่อข้าราชการที่ลานั้นพ้นจากการเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลแล้วให้มารายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติต่อผู้บังคับบัญชาภายใน ๗ วัน เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็น ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง หัวหน้าส่วนราชการ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดตามข้อ ๓๑ อาจขยายเวลาให้ได้แต่รวมแล้วไม่เกิน ๑๕ วัน
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้รายงานลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ถ้าเป็นหัวหน้าส่วนราชการให้รายงานลาต่อปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงแล้วแต่กรณี
ข้อ ๓๒ เมื่อข้าราชการที่ลานั้นพ้นจากการเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลแล้วให้มารายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติต่อผู้บังคับบัญชาภายใน ๗ วัน เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็น ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง หัวหน้าส่วนราชการ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดตามข้อ ๓๑ อาจขยายเวลาให้ได้แต่รวมแล้วไม่เกิน ๑๕ วัน
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาบวช ลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์ ข้าราชการ
ข้อ ๒๙ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา หรือข้าราชการที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งประสงค์จะลาไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาตก่อนวันอุปสมบทหรือก่อนวันเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน
ในกรณีมีเหตุพิเศษไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่ง ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นประกอบการลา และให้อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาตที่จะพิจารณาให้ลาหรือไม่ก็ได้
ข้อ ๓๐ ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลาไปประกอบพิธีฮัจย์ตามข้อ ๒๙ แล้ว จะต้องอุปสมบทหรือออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ภายใน ๑๐ วันนับแต่วันเริ่มลา และจะต้องกลับมารายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน ๕ วันนับแต่วันที่ลาสิกขาหรือวันที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ทั้งนี้ จะต้องนับรวมอยู่ภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตการลา
ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลาไปประกอบพิธีฮัจย์และได้หยุดราชการไปแล้ว หากปรากฏว่ามีปัญหาอุปสรรคทำให้ไม่สามารถอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัจย์ตามที่ขอลาไว้ เมื่อได้รายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติและขอยกเลิกวันลา ให้ผู้มีอำนาจตามข้อ ๒๙ พิจารณาหรืออนุญาตให้ยกเลิกวันลาอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัจย์โดยให้ถือว่าวันที่ได้หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ในกรณีมีเหตุพิเศษไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่ง ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นประกอบการลา และให้อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาตที่จะพิจารณาให้ลาหรือไม่ก็ได้
ข้อ ๓๐ ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลาไปประกอบพิธีฮัจย์ตามข้อ ๒๙ แล้ว จะต้องอุปสมบทหรือออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ภายใน ๑๐ วันนับแต่วันเริ่มลา และจะต้องกลับมารายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน ๕ วันนับแต่วันที่ลาสิกขาหรือวันที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ทั้งนี้ จะต้องนับรวมอยู่ภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตการลา
ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลาไปประกอบพิธีฮัจย์และได้หยุดราชการไปแล้ว หากปรากฏว่ามีปัญหาอุปสรรคทำให้ไม่สามารถอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัจย์ตามที่ขอลาไว้ เมื่อได้รายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติและขอยกเลิกวันลา ให้ผู้มีอำนาจตามข้อ ๒๙ พิจารณาหรืออนุญาตให้ยกเลิกวันลาอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัจย์โดยให้ถือว่าวันที่ได้หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาพักผ่อน ข้าราชการ
ข้อ ๒๓ ข้าราชการมีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีในปีงบประมาณหนึ่งได้ ๑๐ วันทำการ เว้นแต่ข้าราชการดังต่อไปนี้ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีในปีที่ได้รับบรรจุเข้ารับราชการยังไม่ถึง ๖ เดือน
(๑) ผู้ซึ่งได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครั้งแรก
(๒) ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพราะเหตุส่วนตัว แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก
(๓) ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีกหลัง ๖ เดือน นับแต่วันออกจากราชการ
(๔) ผู้ซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการในกรณีอื่น นอกจากกรณีไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร และกรณีไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก
ข้อ ๒๔ ถ้าในปีใดข้าราชการผู้ใดมิได้ลาพักผ่อนประจำปี หรือลาพักผ่อนประจำปีแล้วแต่ไม่ครบ ๑๐ วันทำการ ให้สะสมวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆ ไปได้ แต่วันลาพักผ่อนสะสมรวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันจะต้องไม่เกิน ๒๐ วันทำการ
สำหรับผู้ที่ได้รับราชการติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี ให้มีสิทธินำวันลาพักผ่อนสะสมรวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันได้ไม่เกิน ๓๐ วันทำการ
ข้อ ๒๕ ให้ข้าราชการที่ประจำการในต่างประเทศในเมืองที่กำลังพัฒนาซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกา ลาตินอเมริกา และอเมริกากลาง หรือเมืองที่มีความเป็นอยู่ยากลำบาก เมืองที่มีภาวะความเป็นอยู่ไม่ปกติ และเมืองที่มีสถานการณ์พิเศษ มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีในปีหนึ่งได้เพิ่มขึ้นอีก ๑๐ วันทำการ สำหรับวันลาตามข้อนี้มิให้นำวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อไป
การกำหนดรายชื่อเมืองตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศกำหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
ข้อ ๒๖ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาพักผ่อน ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาต และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดราชการได้
ข้อ ๒๗ การอนุญาตให้ลาพักผ่อน ผู้มีอำนาจอนุญาตจะอนุญาตให้ลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ โดยมิให้เสียหายแก่ราชการ
ข้อ ๒๘ ข้าราชการประเภทใดที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาและมีวันหยุดภาคการศึกษา หากได้หยุดราชการตามวันหยุดภาคการศึกษาเกินกว่าวันลาพักผ่อนตามระเบียบนี้ ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนตามที่กำหนดไว้ในส่วนนี้
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
(๑) ผู้ซึ่งได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครั้งแรก
(๒) ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพราะเหตุส่วนตัว แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก
(๓) ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีกหลัง ๖ เดือน นับแต่วันออกจากราชการ
(๔) ผู้ซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการในกรณีอื่น นอกจากกรณีไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร และกรณีไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก
ข้อ ๒๔ ถ้าในปีใดข้าราชการผู้ใดมิได้ลาพักผ่อนประจำปี หรือลาพักผ่อนประจำปีแล้วแต่ไม่ครบ ๑๐ วันทำการ ให้สะสมวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆ ไปได้ แต่วันลาพักผ่อนสะสมรวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันจะต้องไม่เกิน ๒๐ วันทำการ
สำหรับผู้ที่ได้รับราชการติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี ให้มีสิทธินำวันลาพักผ่อนสะสมรวมกับวันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันได้ไม่เกิน ๓๐ วันทำการ
ข้อ ๒๕ ให้ข้าราชการที่ประจำการในต่างประเทศในเมืองที่กำลังพัฒนาซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกา ลาตินอเมริกา และอเมริกากลาง หรือเมืองที่มีความเป็นอยู่ยากลำบาก เมืองที่มีภาวะความเป็นอยู่ไม่ปกติ และเมืองที่มีสถานการณ์พิเศษ มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีในปีหนึ่งได้เพิ่มขึ้นอีก ๑๐ วันทำการ สำหรับวันลาตามข้อนี้มิให้นำวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อไป
การกำหนดรายชื่อเมืองตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศกำหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
ข้อ ๒๖ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาพักผ่อน ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาต และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดราชการได้
ข้อ ๒๗ การอนุญาตให้ลาพักผ่อน ผู้มีอำนาจอนุญาตจะอนุญาตให้ลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ โดยมิให้เสียหายแก่ราชการ
ข้อ ๒๘ ข้าราชการประเภทใดที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาและมีวันหยุดภาคการศึกษา หากได้หยุดราชการตามวันหยุดภาคการศึกษาเกินกว่าวันลาพักผ่อนตามระเบียบนี้ ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนตามที่กำหนดไว้ในส่วนนี้
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลากิจส่วนตัว ของข้าราชการ
ข้อ ๒๑ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลากิจส่วนตัว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาต และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะหยุดราชการได้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นไม่สามารถรอรับอนุญาตได้ทัน จะเสนอหรือจัดส่งใบลาพร้อมระบุเหตุจำเป็นไว้ แล้วหยุดราชการไปก่อนก็ได้แต่จะต้องชี้แจงเหตุผลให้ผู้มีอำนาจอนุญาตทราบโดยเร็ว
ในกรณีมีเหตุพิเศษที่ไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่งได้ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาพร้อมทั้งเหตุผลความจำเป็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตทันทีในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ
ข้อ ๒๒ ข้าราชการที่ลาคลอดบุตรตามข้อ ๑๙ แล้ว หากประสงค์จะลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร ให้มีสิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน ๑๕๐ วันทำการ
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ในกรณีมีเหตุพิเศษที่ไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนตามวรรคหนึ่งได้ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาพร้อมทั้งเหตุผลความจำเป็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตทันทีในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ
ข้อ ๒๒ ข้าราชการที่ลาคลอดบุตรตามข้อ ๑๙ แล้ว หากประสงค์จะลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร ให้มีสิทธิลาต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน ๑๕๐ วันทำการ
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ข้าราชการ (สามีลา ภรรยาคลอด)
ข้อ ๒๐ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่คลอดบุตร และให้มีสิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำการ
ผู้มีอำนาจอนุญาตตามวรรคหนึ่งอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ผู้มีอำนาจอนุญาตตามวรรคหนึ่งอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาคลอดบุตร ข้าราชการ
ข้อ ๑๙ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาคลอดบุตร ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลา เว้นแต่ไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้ จะให้ผู้อื่นลาแทนก็ได้ แต่เมื่อสามารถลงชื่อได้แล้ว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว โดยไม่ต้องมีใบรับรองของแพทย์
การลาคลอดบุตรจะลาในวันที่คลอด ก่อน หรือหลังวันที่คลอดบุตรก็ได้ แต่เมื่อรวมวันลาแล้วต้องไม่เกิน ๙๐ วัน
ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาคลอดบุตรและได้หยุดราชการไปแล้ว แต่ไม่ได้คลอดบุตรตามกำหนด หากประสงค์จะขอยกเลิกวันลาคลอดบุตรที่หยุดไป ให้ผู้มีอำนาจอนุญาตอนุญาตให้ยกเลิกวันลาคลอดบุตรได้ โดยให้ถือว่าวันที่ได้หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว
การลาคลอดบุตรคาบเกี่ยวกับการลาประเภทใดซึ่งยังไม่ครบกำหนดวันลาของการลาประเภทนั้น ให้ถือว่าการลาประเภทนั้นสิ้นสุดลง และให้นับเป็นการลาคลอดบุตรตั้งแต่วันเริ่มวันลาคลอดบุตร
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาคลอดบุตรจะลาในวันที่คลอด ก่อน หรือหลังวันที่คลอดบุตรก็ได้ แต่เมื่อรวมวันลาแล้วต้องไม่เกิน ๙๐ วัน
ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาคลอดบุตรและได้หยุดราชการไปแล้ว แต่ไม่ได้คลอดบุตรตามกำหนด หากประสงค์จะขอยกเลิกวันลาคลอดบุตรที่หยุดไป ให้ผู้มีอำนาจอนุญาตอนุญาตให้ยกเลิกวันลาคลอดบุตรได้ โดยให้ถือว่าวันที่ได้หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว
การลาคลอดบุตรคาบเกี่ยวกับการลาประเภทใดซึ่งยังไม่ครบกำหนดวันลาของการลาประเภทนั้น ให้ถือว่าการลาประเภทนั้นสิ้นสุดลง และให้นับเป็นการลาคลอดบุตรตั้งแต่วันเริ่มวันลาคลอดบุตร
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาป่วยของข้าราชการ
ข้อ ๑๘ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาป่วยเพื่อรักษาตัว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลา เว้นแต่ในกรณีจำเป็น จะเสนอหรือจัดส่งใบลา
ในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการก็ได้
ในกรณีที่ข้าราชการผู้ขอลามีอาการป่วยจนไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้ จะให้ผู้อื่นลาแทนก็ได้ แต่เมื่อสามารถลงชื่อได้แล้ว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว
การลาป่วยตั้งแต่ ๓๐ วันขึ้นไป ต้องมีใบรับรองของแพทย์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแนบไปกับใบลาด้วย ในกรณีจำเป็นหรือเห็นสมควร ผู้มีอำนาจอนุญาตจะสั่งให้ใช้ใบรับรองของแพทย์อื่นซึ่งผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นชอบแทนก็ได้
การลาป่วยไม่ถึง ๓๐ วัน ไม่ว่าจะเป็นการลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งติดต่อกัน ถ้าผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นสมควร จะสั่งให้มีใบรับรองของแพทย์ตามวรรคสามประกอบใบลา หรือสั่งให้ผู้ลาไปรับการตรวจจากแพทย์ของทางราชการเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตก็ได้
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการก็ได้
ในกรณีที่ข้าราชการผู้ขอลามีอาการป่วยจนไม่สามารถจะลงชื่อในใบลาได้ จะให้ผู้อื่นลาแทนก็ได้ แต่เมื่อสามารถลงชื่อได้แล้ว ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว
การลาป่วยตั้งแต่ ๓๐ วันขึ้นไป ต้องมีใบรับรองของแพทย์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแนบไปกับใบลาด้วย ในกรณีจำเป็นหรือเห็นสมควร ผู้มีอำนาจอนุญาตจะสั่งให้ใช้ใบรับรองของแพทย์อื่นซึ่งผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นชอบแทนก็ได้
การลาป่วยไม่ถึง ๓๐ วัน ไม่ว่าจะเป็นการลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งติดต่อกัน ถ้าผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นสมควร จะสั่งให้มีใบรับรองของแพทย์ตามวรรคสามประกอบใบลา หรือสั่งให้ผู้ลาไปรับการตรวจจากแพทย์ของทางราชการเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตก็ได้
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การนับวันลาข้าราชการ
การนับวันลาเพื่อประโยชน์ในการเสนอหรือจัดส่งใบลา อนุญาตให้ลา และคำนวณวันลาให้นับต่อเนื่องกันโดยนับวันหยุดราชการที่อยู่ในระหว่างวันลาประเภทเดียวกันรวมเป็นวันลาด้วย เว้นแต่การนับเพื่อประโยชน์ในการคำนวณวันลาสำหรับวันลาป่วยที่มิใช่วันลาป่วยตามกฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ข้าราชการผู้ได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บเพราะเหตุปฏิบัติราชการ วันลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรวันลากิจส่วนตัว และวันลาพักผ่อน ให้นับเฉพาะวันทำการ
การลาป่วยหรือลากิจส่วนตัวซึ่งมีระยะเวลาต่อเนื่องกัน จะเป็นในปีงบประมาณเดียวกันหรือไม่ก็ตาม ให้นับเป็นการลาครั้งหนึ่ง ถ้าจำนวนวันลาครั้งหนึ่งรวมกันเกินอำนาจของผู้มีอำนาจอนุญาตระดับใด ให้นำใบลาเสนอขึ้นไปตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาต
ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ลากิจส่วนตัวซึ่งมิใช่ลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรตามข้อ ๒๒ หรือลาพักผ่อน ซึ่งได้หยุดราชการไปยังไม่ครบกำหนด ถ้ามีราชการจำเป็นเกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจอนุญาตจะเรียกตัวมาปฏิบัติราชการระหว่างการลาก็ได้
การลาของข้าราชการที่ถูกเรียกกลับมาปฏิบัติราชการระหว่างการลา ให้ถือว่าสิ้นสุดก่อนวันมาปฏิบัติราชการ เว้นแต่ผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นว่าการเดินทางต้องใช้เวลา ให้ถือว่าสิ้นสุดก่อนวันเดินทางกลับ
การลาครึ่งวันในตอนเช้าหรือตอนบ่าย ให้นับเป็นการลาครึ่งวันตามประเภทของการลานั้น ๆ
ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลา หากประสงค์จะยกเลิกวันลาที่ยังไม่ได้หยุดราชการ ให้เสนอขอยกเลิกวันลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตให้ลา และให้ถือว่าการลาเป็นอันสิ้นสุดก่อนวันมาปฏิบัติราชการ
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
การลาป่วยหรือลากิจส่วนตัวซึ่งมีระยะเวลาต่อเนื่องกัน จะเป็นในปีงบประมาณเดียวกันหรือไม่ก็ตาม ให้นับเป็นการลาครั้งหนึ่ง ถ้าจำนวนวันลาครั้งหนึ่งรวมกันเกินอำนาจของผู้มีอำนาจอนุญาตระดับใด ให้นำใบลาเสนอขึ้นไปตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาต
ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ลากิจส่วนตัวซึ่งมิใช่ลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรตามข้อ ๒๒ หรือลาพักผ่อน ซึ่งได้หยุดราชการไปยังไม่ครบกำหนด ถ้ามีราชการจำเป็นเกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจอนุญาตจะเรียกตัวมาปฏิบัติราชการระหว่างการลาก็ได้
การลาของข้าราชการที่ถูกเรียกกลับมาปฏิบัติราชการระหว่างการลา ให้ถือว่าสิ้นสุดก่อนวันมาปฏิบัติราชการ เว้นแต่ผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นว่าการเดินทางต้องใช้เวลา ให้ถือว่าสิ้นสุดก่อนวันเดินทางกลับ
การลาครึ่งวันในตอนเช้าหรือตอนบ่าย ให้นับเป็นการลาครึ่งวันตามประเภทของการลานั้น ๆ
ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลา หากประสงค์จะยกเลิกวันลาที่ยังไม่ได้หยุดราชการ ให้เสนอขอยกเลิกวันลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตให้ลา และให้ถือว่าการลาเป็นอันสิ้นสุดก่อนวันมาปฏิบัติราชการ
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙ ตอนพิเศษ ๒๒ ง ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
ของฝากจากฮอกไกโด ญี่ปุ่น ^ ^
บอสที่ทำงานเพิ่งไปเที่ยวฮอกไกโดประเทศญี่ปุ่นมาครับ ก็เอาของฝากต่างๆมาแจกจ่ายคนในที่ทำงาน
ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกชอคโกแลต Royce แล้วก็ KitKat ชาเขียว ... แต่นั่นก็คือของฝากที่พบได้ทั่วไปในญี่ปุ่น สนามบินนาริตะก็มีขาย
ก็เลยขอคัดเฉพาะที่ (เค้าบอกมา) ว่ามีเฉพาะที่ฮอกไกโดมาให้ดูครับ
สำหรับฮอกไกโดนั้น ของขึ้นชื่อก็คือ "นม" ครับ ดังนั้นของฝากที่เด่นๆที่นี่ก็จะเป็นของพวกนมๆ
แต่ถ้าเป็นนมจริงๆ มันเสียง่ายครับ ก็ต้องหาพวกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมนี่แหละครับ ดังๆก็คือพวกไวท์ชอคโกแลต ชอคโกแลตนม อะไรเงี้ยะอ่ะครับ เป็นของกินแนวน่ารักๆมากกว่า
ลองดูตามรูปครับ จะเห็นว่ามีไวท์ชอคโกแลตรูปขวดนมวางขายอยู่ นี่ก็นิยมเป็นของฝาก
แล้วก็มีทาโร่ที่ประกบแผ่น ตรงกลางเป็นงา อันนี้อร่อยมากๆครับ แต่คิดว่ามีทั่วไปไม่เฉพาะฮอกไกโด
นอกนั้นก็พวกเครื่องรางจากวัด แล้วก็ผลิตภัณฑ์จากเมล่อนจ้า ^ ^
ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกชอคโกแลต Royce แล้วก็ KitKat ชาเขียว ... แต่นั่นก็คือของฝากที่พบได้ทั่วไปในญี่ปุ่น สนามบินนาริตะก็มีขาย
ก็เลยขอคัดเฉพาะที่ (เค้าบอกมา) ว่ามีเฉพาะที่ฮอกไกโดมาให้ดูครับ
สำหรับฮอกไกโดนั้น ของขึ้นชื่อก็คือ "นม" ครับ ดังนั้นของฝากที่เด่นๆที่นี่ก็จะเป็นของพวกนมๆ
แต่ถ้าเป็นนมจริงๆ มันเสียง่ายครับ ก็ต้องหาพวกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมนี่แหละครับ ดังๆก็คือพวกไวท์ชอคโกแลต ชอคโกแลตนม อะไรเงี้ยะอ่ะครับ เป็นของกินแนวน่ารักๆมากกว่า
ลองดูตามรูปครับ จะเห็นว่ามีไวท์ชอคโกแลตรูปขวดนมวางขายอยู่ นี่ก็นิยมเป็นของฝาก
แล้วก็มีทาโร่ที่ประกบแผ่น ตรงกลางเป็นงา อันนี้อร่อยมากๆครับ แต่คิดว่ามีทั่วไปไม่เฉพาะฮอกไกโด
นอกนั้นก็พวกเครื่องรางจากวัด แล้วก็ผลิตภัณฑ์จากเมล่อนจ้า ^ ^
รีวิว Evaime Shabu Shabu ร้านอาหารที่สยามพารากอน ^ ^
Evaime - อีวาไอเมะ เป็นร้านอาหารแนวสุกี้ ชาบูชาบู ที่สยามพารากอนน่ะครับ ชั้น 4 ได้มีโอกาสไปทานร่วมกับคุณภรรยาและเพื่อนๆของคุณภรรยาเค้าน่ะครับ แบบว่าสาวๆนัดเจอกัน เม้าส์กันตามประสาน่ะครับ
ผมได้ไปกินด้วยก็เลยมารีวิวคร่าวๆให้ดูกันหน่อย ^ ^
ตอนแรกเห็นชื่อร้าน ก็ไม่รู้ภาษาอะไร ถ้าญี่ปุ่นก็จะอ่านว่า เอะวาอิเมะ ... แต่มารู้ทีหลัง ว่าเป็นสุกี้ใต้หวันครับ ชื่อว่า อีวาไอเมะ ^ ^"
จุดเด่นของเค้าคือ มีน้ำซุบประมาณ 5-6 อย่างครับ
แล้วหม้อเค้าก็จะใส่น้ำได้สองแบบ ... คุณภรรยาและเพื่อนๆก็เลยเลือกต้มยำน้ำข้นไว้กลาง และน้ำซุปออริจินัลอยู่ด้านนอกแบบนี้
จากนั้นก็สั่งแบบเป็นเซทมาครับ เซทหมูน่ะครับ ได้หมูสไลด์บางเฉียบมาแบบนี้ เต้าหู้หลายอย่าง เห็ดหลายอย่างมาก มีเนื้อหมูชุบไข่ แล้วก็หมูบดปรุงรสในกระบอก (อันนี้มองไม่เห็น ถ่ายมาไม่ดีครับ)
อันนี้เป็นอาหารทะเลครับ
อันนี้ผัก ... รวมๆแล้วครบเครื่องดีครับสำหรับการสั่งเป็นเซ็ท
พอเอาลงต้ม ก็ได้หน้าตาออกมาแบบนี้ น่ากินมากกกกกกกกกกกก!!
ไปทานกัน 4 คน ตอนแรกกลัวไม่หมด แต่ไปๆมาๆ ก็เกือบหมดครับ (ยังมีเหลือนิดหน่อย)
น้ำจิ้มที่นี่หลากหลายมากๆครับ ที่เห็นนี่คือน้ำจิ้มคนละชนิดทั้งนั้นนะครับ แล้วก็มีที่ไม่ได้ตักมาอีกมั้งครับ
อันนี้สลัด ... สลัดอะไรก็ไม่รู้ครับ เพื่อนคุณภรรยาสั่ง เป็นสลัดราดน้ำสลัดวาซาบิ แล้วก็มีเนื้อแซลมอนจัดวางเป็นรูปกุหลาบข้างๆ
อันนี้อร่อยครับ แนะนำให้ลองกิน (กินแล้วสามารถเอากลับไปทำเองที่บ้านได้) นั่นก็คือสไปร์ทสตรอเบอร์รี่ครับ ... แต่ผมว่ามาการิต้า ของ KFC อร่อยกว่า (เพิ่งได้ลองมาวันนี้เอง อร่อยมากๆสำหรับมาการิต้า KFC ... ไม่นึกว่าจะมีเมนูเครื่องดื่มอร่อยๆในร้านไก่ทอด)
นอกจากชาบูชาบูแล้ว ... ดูเมนูเค้าก่อนครับ ... มีขาปูด้วยนะครับ กุ้ง หอย น่ากินทั้งนั้น (แต่แพงนิด)
ถ่ายมาจากเมนูให้ดูน่ะครับว่าเค้ามีอะไรบ้าง ก็ดูๆแล้วจินตนาการกันเอาเองเนอะ ^ ^"
ภาพนี้ครับ มุมบนขวา ขาปูครับ น่าจะขาปูทาราบะ
และนี่คือเซ็ทที่ผมสั่งมาครับ เห็นครบมากกว่าครับ ได้ตามนี้เลยครับ
โดยรวมอร่อยครับ ถูกใจอยู่เหมือนกัน ยังมีน้ำซุปรสอื่นๆ และเมนูอื่นๆที่ยังไม่ได้ลองอีกเยอะมากๆ
ถ้ามีโอกาส ก็อยากกินอีกครับ ... แต่ก็แพงเหมือนกัน ดูเงินในกระเป๋าหน่อยสิ 555+
ก็แนะนำครับ ลองไปกินกันได้ครับ จริงๆที่นี่เป็นบุฟเฟ่ต์นะครับ แต่ตอนไปกินมันเกือบ 3 ทุ่มแล้ว ไม่เหลือบุฟเฟ่ต์เลย -*-
ผมได้ไปกินด้วยก็เลยมารีวิวคร่าวๆให้ดูกันหน่อย ^ ^
ตอนแรกเห็นชื่อร้าน ก็ไม่รู้ภาษาอะไร ถ้าญี่ปุ่นก็จะอ่านว่า เอะวาอิเมะ ... แต่มารู้ทีหลัง ว่าเป็นสุกี้ใต้หวันครับ ชื่อว่า อีวาไอเมะ ^ ^"
จุดเด่นของเค้าคือ มีน้ำซุบประมาณ 5-6 อย่างครับ
แล้วหม้อเค้าก็จะใส่น้ำได้สองแบบ ... คุณภรรยาและเพื่อนๆก็เลยเลือกต้มยำน้ำข้นไว้กลาง และน้ำซุปออริจินัลอยู่ด้านนอกแบบนี้
จากนั้นก็สั่งแบบเป็นเซทมาครับ เซทหมูน่ะครับ ได้หมูสไลด์บางเฉียบมาแบบนี้ เต้าหู้หลายอย่าง เห็ดหลายอย่างมาก มีเนื้อหมูชุบไข่ แล้วก็หมูบดปรุงรสในกระบอก (อันนี้มองไม่เห็น ถ่ายมาไม่ดีครับ)
อันนี้เป็นอาหารทะเลครับ
อันนี้ผัก ... รวมๆแล้วครบเครื่องดีครับสำหรับการสั่งเป็นเซ็ท
พอเอาลงต้ม ก็ได้หน้าตาออกมาแบบนี้ น่ากินมากกกกกกกกกกกก!!
ไปทานกัน 4 คน ตอนแรกกลัวไม่หมด แต่ไปๆมาๆ ก็เกือบหมดครับ (ยังมีเหลือนิดหน่อย)
น้ำจิ้มที่นี่หลากหลายมากๆครับ ที่เห็นนี่คือน้ำจิ้มคนละชนิดทั้งนั้นนะครับ แล้วก็มีที่ไม่ได้ตักมาอีกมั้งครับ
อันนี้สลัด ... สลัดอะไรก็ไม่รู้ครับ เพื่อนคุณภรรยาสั่ง เป็นสลัดราดน้ำสลัดวาซาบิ แล้วก็มีเนื้อแซลมอนจัดวางเป็นรูปกุหลาบข้างๆ
อันนี้อร่อยครับ แนะนำให้ลองกิน (กินแล้วสามารถเอากลับไปทำเองที่บ้านได้) นั่นก็คือสไปร์ทสตรอเบอร์รี่ครับ ... แต่ผมว่ามาการิต้า ของ KFC อร่อยกว่า (เพิ่งได้ลองมาวันนี้เอง อร่อยมากๆสำหรับมาการิต้า KFC ... ไม่นึกว่าจะมีเมนูเครื่องดื่มอร่อยๆในร้านไก่ทอด)
นอกจากชาบูชาบูแล้ว ... ดูเมนูเค้าก่อนครับ ... มีขาปูด้วยนะครับ กุ้ง หอย น่ากินทั้งนั้น (แต่แพงนิด)
ถ่ายมาจากเมนูให้ดูน่ะครับว่าเค้ามีอะไรบ้าง ก็ดูๆแล้วจินตนาการกันเอาเองเนอะ ^ ^"
ภาพนี้ครับ มุมบนขวา ขาปูครับ น่าจะขาปูทาราบะ
และนี่คือเซ็ทที่ผมสั่งมาครับ เห็นครบมากกว่าครับ ได้ตามนี้เลยครับ
โดยรวมอร่อยครับ ถูกใจอยู่เหมือนกัน ยังมีน้ำซุปรสอื่นๆ และเมนูอื่นๆที่ยังไม่ได้ลองอีกเยอะมากๆ
ถ้ามีโอกาส ก็อยากกินอีกครับ ... แต่ก็แพงเหมือนกัน ดูเงินในกระเป๋าหน่อยสิ 555+
ก็แนะนำครับ ลองไปกินกันได้ครับ จริงๆที่นี่เป็นบุฟเฟ่ต์นะครับ แต่ตอนไปกินมันเกือบ 3 ทุ่มแล้ว ไม่เหลือบุฟเฟ่ต์เลย -*-
บริษัทจำกัด คืออะไร?
บริษัทจำกัด คือ การที่บุคคลตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปร่วมกันทำกิจการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรจากการดำเนินกิจการนั้นมาแบ่งปันกัน โดยบริษัทจำกัด จะแบ่งทุนออกเป็นหุ้น มูลค่าหุ้นละเท่าๆ กัน ผู้ลงทุนในบริษัทเรียกว่า “ผู้ถือหุ้น” โดยผู้ถือหุ้นรับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ เมื่อจดทะเบียนบริษัทจำกัดแล้ว จะมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้น และได้รับเลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก ซึ่งสามารถใช้เป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของกรมสรรพากรได้
สำหรับชื่อบริษัท ถ้าจะนำชื่อไปใช้ในดวงตรา ป้ายชื่อ หนังสือ จดหมาย หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทต้องใช้คำว่า “บริษัท” ไว้หน้าชื่อ และ "จำกัด" ไว้ท้ายชื่อด้วย ถ้าเป็นอักษรต่างประเทศ ต้องใช้คำซึ่งมีความหมายว่า "บริษัทจำกัด" ประกอบชื่อ
อ้างอิง : คู่มือ สิ่งที่ต้องรู้เมื่อเป็นห้างหุ้นส่วนบริษัท, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2555
สำหรับชื่อบริษัท ถ้าจะนำชื่อไปใช้ในดวงตรา ป้ายชื่อ หนังสือ จดหมาย หรือเอกสารอย่างอื่นเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทต้องใช้คำว่า “บริษัท” ไว้หน้าชื่อ และ "จำกัด" ไว้ท้ายชื่อด้วย ถ้าเป็นอักษรต่างประเทศ ต้องใช้คำซึ่งมีความหมายว่า "บริษัทจำกัด" ประกอบชื่อ
อ้างอิง : คู่มือ สิ่งที่ต้องรู้เมื่อเป็นห้างหุ้นส่วนบริษัท, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2555
การแยกกัก (Isolation) คือ, มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
การแยกกักผู้ป่วยหรือสัตว์ในช่วงเวลาที่สามารถแพร่กระจายเชื้อ เพื่อป้องกันหรือจำกัดการถ่ายทอดเชื้อจากผู้ป่วยไปยังผู้ที่ไวต่อการเกิดโรค หรือจากผู้ที่อาจแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น สามารถแบ่งประเภทการควบคุมโรคติดต่อด้วยวิธีการแยกโรคเป็น 7 กลุ่ม ดังนี้
a. Strict isolation : การแยกโรคอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการถ่ายทอดจากเชื้อที่ติดต่อได้ง่ายหรือมีความรุนแรงของโรคสูง ซึ่งอาจติดต่อได้ทั้งการสัมผัสและอากาศ ข้อกำหนดรวมถึงการใช้ห้องแยกเฉพาะ สวมใส่ผ้าปิดจมูกและเสื้อกาวน์ และถุงมือสำหรับทุกคนที่จะเข้าไปในห้องแยกโรค มีการกำหนดการจัดระบบหมุนเวียนอากาศแบบพิเศษให้มีความดันภายในห้องต่ำกว่า (เป็นลบ) ภายนอก
b. Contact isolation : สำหรับโรคที่แพร่กระจายได้ยากกว่าหรือมีความรุนแรงน้อยกว่า หรือโรคที่แพร่จากการสัมผัสอย่างใกล้ชิดเท่านั้น ห้องแยกเฉพาะเป็นข้อกำหนด แต่ผู้ป่วยโรคเดียวกันสามารถอยู่ห้องร่วมกันได้ ควรใช้ผ้าปิดจมูกสำหรับผู้เยี่ยมผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด การใส่เสื้อกาวน์ในกรณีที่มีร่องรอยของคราบสกปรก และใส่ถุงมือถ้าต้องสัมผัสผู้ป่วยและ/หรือสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ
c. Respiratory isolation : เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อทางอากาศในระยะใกล้ชิด ห้องแยกเป็นข้อกำหนดแต่ผู้ป่วยโรคเดียวกันสามารถอยู่ในห้องร่วมกันได้ การใช้ผ้าปิดจมูกเป็นสิ่งเพิ่มเติมถ้าเข้าใกล้ชิดกับผู้ป่วย แต่เสื้อกาวน์และถุงมือไม่มีความจำเป็น
d. Tuberculosis isolation (AFB isolation) : สำหรับผู้ป่วยวัณโรคปอดซึ่งตรวจพบเชื้อในเสมหะหรือจากการเอ็กซเรย์ (x-ray ปอด) พบลักษณะที่บ่งชี้ว่าเป็นวัณโรคที่รุนแรง ข้อกำหนดรวมถึงการใช้ห้องที่มีระบบการถ่ายเทอากาศพิเศษและประตูที่ปิดสนิท ผ้าปิดจมูกเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการไอและไม่แน่ใจว่าสามารถปิดปากได้ ควรใส่เสื้อกาวน์เพื่อป้องกันการปนเปื้อนบนเสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงมือ
e. Enteric precautions : สำหรับโรคที่ติดต่อโดยการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อมกับอุจจาระของผู้ป่วยกำหนดให้อยู่ในห้องแยกถ้าสุขอนามัยของผู้ป่วยไม่ดี ผ้าปิดจมูกไม่มีความจำเป็น การใส่เสื้อกาวน์มีข้อบ่งชี้ถ้ามีโอกาสสัมผัสกับคราบสกปรกของผู้ป่วย สวมใส่ถุงมือเมื่อต้องสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน
f. Drainage/secretion precaution : เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อโดยการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อมกับหนองหรือสารคัดหลั่งจากตำแหน่งที่ติดเชื้อ ห้องแยกและการใช้ผ้าปิดจมูกไม่มีความจำเป็น สวมใส่เสื้อกาวน์และถุงมือถ้ามีโอกาสสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน
g. Blood/body fluid precautions : เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสโดยตรงหรือโดยอ้อมกับเลือดหรือสารคัดหลั่งจากร่างกาย ใช้ห้องแยกถ้าผู้ป่วยมีสุขอนามัยไม่ดี ไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าปิดจมูก สวมใส่เสื้อกาวน์ในกรณีที่เสื้อผ้ามีโอกาสสัมผัสกับเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วย การระมัดระวังการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องทราบว่าผู้ป่วยนั้นป่วยด้วยโรคที่ติดต่อทางเลือดหรือไม่ (Universal blood and body fluid precautions) มาตรการเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการติดต่อทางเลือด เนื้อเยื่อมิวคัส Mucous membrane) และผิวหนังที่เป็นแผลของบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วย การป้องกันรวมถึงการใส่ถุงมือ การใส่เสื้อกาวน์ การใส่ผ้าปิดจมูกและการใส่แว่น
การแยกผู้ป่วยหรือสัตว์ที่ติดเชื้ออยู่ในห้อง ต้องทำอย่างน้อยนานเท่ากับระยะเวลาที่โรคสามารถแพร่กระจายได้เพื่อป้องกันหรือลดการติดต่อทั้งทางตรงและทางอ้อม จากผู้ป่วยไปยังผู้ที่ไวต่อการติดเชื้อ Universal precautions ควรทำอย่างสม่ำเสมอเมื่อดูแลผู้ป่วยทุกคนในโรงพยาบาลรวมถึงผู้ป่วยนอก โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ป่วยเป็นโรคที่ติดต่อทางเลือดหรือไม่ การปฏิบัติอยู่ในความเชื่อว่าเลือดและสารคัดหลั่ง (เลือด น้ำกาม ของเหลวจากช่องคลอด น้ำไขสันหลัง น้ำจากข้อของเหลวจากช่องปอด ช่องท้อง เยื้อหุ้มหัวใจและน้ำคร่ำ) ของผู้ป่วยทุกรายมีโอกาสจะติดเชื้อ HIV HBV และโรคที่ติดต่อทางเลือด Universal precautions ดำเนินไปเพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์จากการสัมผัสทางเลือด เนื้อเยื่อมิวคัส(Mucous membrane) และแผลที่ผิวหนัง มาตรการป้องกันได้แก่ การใส่ถุงมือ การใส่ผ้าปิดจมูก การใส่แว่นและหน้ากากป้องกันใบหน้า การใช้ห้องแยกโรคในกรณีที่ผู้ป่วยมีสุขอนามัยที่ไม่ดี การกำหนดบุคลากรท้องถิ่นและส่วนกลางขึ้นในการจัดการของเสียจากโรงพยาบาล ข้อกำหนดขั้นพื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อมี 2 ข้อ ได้แก่ 1) การล้างมือหลังการสัมผัสกับผู้ป่วยหรือวัตถุที่ปนเปื้อน ก่อนดูแลผู้ป่วยรายต่อไป และ 2) วัตถุที่ปนเปื้อนกับเชื้อต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทิ้งหรือใส่ถุงรวมถึงการเขียนบ่งบอกชนิดก่อนเริ่มกระบวนการทำลายเชื้อ
อ้างอิง : มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ฉบับปรับปรุงใหม่ 2555 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
a. Strict isolation : การแยกโรคอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการถ่ายทอดจากเชื้อที่ติดต่อได้ง่ายหรือมีความรุนแรงของโรคสูง ซึ่งอาจติดต่อได้ทั้งการสัมผัสและอากาศ ข้อกำหนดรวมถึงการใช้ห้องแยกเฉพาะ สวมใส่ผ้าปิดจมูกและเสื้อกาวน์ และถุงมือสำหรับทุกคนที่จะเข้าไปในห้องแยกโรค มีการกำหนดการจัดระบบหมุนเวียนอากาศแบบพิเศษให้มีความดันภายในห้องต่ำกว่า (เป็นลบ) ภายนอก
b. Contact isolation : สำหรับโรคที่แพร่กระจายได้ยากกว่าหรือมีความรุนแรงน้อยกว่า หรือโรคที่แพร่จากการสัมผัสอย่างใกล้ชิดเท่านั้น ห้องแยกเฉพาะเป็นข้อกำหนด แต่ผู้ป่วยโรคเดียวกันสามารถอยู่ห้องร่วมกันได้ ควรใช้ผ้าปิดจมูกสำหรับผู้เยี่ยมผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด การใส่เสื้อกาวน์ในกรณีที่มีร่องรอยของคราบสกปรก และใส่ถุงมือถ้าต้องสัมผัสผู้ป่วยและ/หรือสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ
c. Respiratory isolation : เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อทางอากาศในระยะใกล้ชิด ห้องแยกเป็นข้อกำหนดแต่ผู้ป่วยโรคเดียวกันสามารถอยู่ในห้องร่วมกันได้ การใช้ผ้าปิดจมูกเป็นสิ่งเพิ่มเติมถ้าเข้าใกล้ชิดกับผู้ป่วย แต่เสื้อกาวน์และถุงมือไม่มีความจำเป็น
d. Tuberculosis isolation (AFB isolation) : สำหรับผู้ป่วยวัณโรคปอดซึ่งตรวจพบเชื้อในเสมหะหรือจากการเอ็กซเรย์ (x-ray ปอด) พบลักษณะที่บ่งชี้ว่าเป็นวัณโรคที่รุนแรง ข้อกำหนดรวมถึงการใช้ห้องที่มีระบบการถ่ายเทอากาศพิเศษและประตูที่ปิดสนิท ผ้าปิดจมูกเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการไอและไม่แน่ใจว่าสามารถปิดปากได้ ควรใส่เสื้อกาวน์เพื่อป้องกันการปนเปื้อนบนเสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงมือ
e. Enteric precautions : สำหรับโรคที่ติดต่อโดยการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อมกับอุจจาระของผู้ป่วยกำหนดให้อยู่ในห้องแยกถ้าสุขอนามัยของผู้ป่วยไม่ดี ผ้าปิดจมูกไม่มีความจำเป็น การใส่เสื้อกาวน์มีข้อบ่งชี้ถ้ามีโอกาสสัมผัสกับคราบสกปรกของผู้ป่วย สวมใส่ถุงมือเมื่อต้องสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน
f. Drainage/secretion precaution : เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อโดยการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อมกับหนองหรือสารคัดหลั่งจากตำแหน่งที่ติดเชื้อ ห้องแยกและการใช้ผ้าปิดจมูกไม่มีความจำเป็น สวมใส่เสื้อกาวน์และถุงมือถ้ามีโอกาสสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน
g. Blood/body fluid precautions : เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสโดยตรงหรือโดยอ้อมกับเลือดหรือสารคัดหลั่งจากร่างกาย ใช้ห้องแยกถ้าผู้ป่วยมีสุขอนามัยไม่ดี ไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าปิดจมูก สวมใส่เสื้อกาวน์ในกรณีที่เสื้อผ้ามีโอกาสสัมผัสกับเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วย การระมัดระวังการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องทราบว่าผู้ป่วยนั้นป่วยด้วยโรคที่ติดต่อทางเลือดหรือไม่ (Universal blood and body fluid precautions) มาตรการเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการติดต่อทางเลือด เนื้อเยื่อมิวคัส Mucous membrane) และผิวหนังที่เป็นแผลของบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วย การป้องกันรวมถึงการใส่ถุงมือ การใส่เสื้อกาวน์ การใส่ผ้าปิดจมูกและการใส่แว่น
การแยกผู้ป่วยหรือสัตว์ที่ติดเชื้ออยู่ในห้อง ต้องทำอย่างน้อยนานเท่ากับระยะเวลาที่โรคสามารถแพร่กระจายได้เพื่อป้องกันหรือลดการติดต่อทั้งทางตรงและทางอ้อม จากผู้ป่วยไปยังผู้ที่ไวต่อการติดเชื้อ Universal precautions ควรทำอย่างสม่ำเสมอเมื่อดูแลผู้ป่วยทุกคนในโรงพยาบาลรวมถึงผู้ป่วยนอก โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ป่วยเป็นโรคที่ติดต่อทางเลือดหรือไม่ การปฏิบัติอยู่ในความเชื่อว่าเลือดและสารคัดหลั่ง (เลือด น้ำกาม ของเหลวจากช่องคลอด น้ำไขสันหลัง น้ำจากข้อของเหลวจากช่องปอด ช่องท้อง เยื้อหุ้มหัวใจและน้ำคร่ำ) ของผู้ป่วยทุกรายมีโอกาสจะติดเชื้อ HIV HBV และโรคที่ติดต่อทางเลือด Universal precautions ดำเนินไปเพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์จากการสัมผัสทางเลือด เนื้อเยื่อมิวคัส(Mucous membrane) และแผลที่ผิวหนัง มาตรการป้องกันได้แก่ การใส่ถุงมือ การใส่ผ้าปิดจมูก การใส่แว่นและหน้ากากป้องกันใบหน้า การใช้ห้องแยกโรคในกรณีที่ผู้ป่วยมีสุขอนามัยที่ไม่ดี การกำหนดบุคลากรท้องถิ่นและส่วนกลางขึ้นในการจัดการของเสียจากโรงพยาบาล ข้อกำหนดขั้นพื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อมี 2 ข้อ ได้แก่ 1) การล้างมือหลังการสัมผัสกับผู้ป่วยหรือวัตถุที่ปนเปื้อน ก่อนดูแลผู้ป่วยรายต่อไป และ 2) วัตถุที่ปนเปื้อนกับเชื้อต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทิ้งหรือใส่ถุงรวมถึงการเขียนบ่งบอกชนิดก่อนเริ่มกระบวนการทำลายเชื้อ
อ้างอิง : มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ฉบับปรับปรุงใหม่ 2555 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
การสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย (Individual case investigation)
การสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย (Individual case investigation) เป็นการหาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโรคที่สนใจ หรือเป็นปัญหาสำคัญ จากผู้ป่วยทีละราย ขณะที่ยังไม่เกิดการระบาด ซึ่งนอกจากจะได้ข้อมูลรายละเอียดมากกว่าข้อมูลจากบัตรรายงานผู้ป่วยแล้ว ยังทราบรายละเอียดการตรวจชันสูตรผู้ป่วยจากแพทย์ผู้ให้การดูแลรักษาและจากการเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมส่วนใหญ่ทำการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะรายในโรคที่มีอุบัติการณ์ต่ำ (Rare diseases) รายที่ผิดปกติของโรคที่พบทั่วไป โรคที่เคยควบคุม (หรือกำจัด) ได้แล้ว สำหรับโรคที่มีอุบัติการณ์สูง การสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะรายจะช่วยตรวจสอบความเที่ยงตรง (Validity) ของรายงานการป่วยและการตาย
วัตถุประสงค์ของการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
1) เพื่อยืนยันการรายงานโรค
2) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคต่อไป
3) เพื่อเข้าใจถึงลักษณะการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละราย
ขั้นตอนการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
มีขั้นตอนการสอบสวนผู้ป่วยดังนี้
1) รวบรวมข้อมูลการป่วย ไปพบผู้ป่วย หรือญาติที่สถานที่รักษาพยาบาล พบแพทย์/ผู้ให้การรักษา และสอบสวนเพิ่มเติมที่บ้านผู้ป่วย โดยรวบรวมข้อมูล
- ประวัติ อาการและอาการแสดง
- การวินิจฉัยของแพทย์
- ผลการตรวจทางห้องชันสูตร
- สภาพแวดล้อมของผู้ป่วย
- ข้อมูลอื่นตามชนิดของโรค เช่น โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ต้องมีข้อมูลประวัติ การได้รับวัคซีนในผู้ป่วย และความครอบคลุมการได้รับวัคซีนในพื้นที่ เป็นต้น
2) ค้นหาขอบเขตการกระจายของโรคในคน เน้นผู้สัมผัสในครอบครัวของผู้ป่วยและผู้สัมผัสในชุมชน ค้นหาผู้ที่มีอาการป่วยก่อนและหลังรายที่สอบสวน (Index case) ถ้าพบผู้ป่วยรายอื่นอีก ควรตรวจสอบข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของพื้นที่ หากมีลักษณะของการระบาด ให้เปลี่ยนเป็นสอบสวนการระบาดแทน
3) เก็บตัวอย่างส่งตรวจ ช่วยให้มั่นใจว่าการมีผู้ป่วยเพียงรายเดียวนั้น เชื้อโรคสาเหตุได้กระจายไปในสิ่งแวดล้อมและผู้สัมผัสมากน้อยเพียงไร
4) ควบคุมโรค (ขั้นต้น) รีบดำเนินการทำลายเชื้อในสิ่งแวดล้อมและผู้สัมผัส รวมถึง มาตรการควบคุมโรคอื่นๆ เช่น รณรงค์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อชุมชน (Herd immunity)
5) เขียนรายงาน เป็นการเสนอรายละเอียดทั้งหมดให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ พร้อมกับ “แบบสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย” ที่สมบูรณ์
แบบสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้รวบรวมข้อมูลได้รายละเอียดในประเด็นสำคัญครบถ้วน และช่วยในการเรียบเรียง วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจากการสอบสวนโรคหลายๆ ครั้ง
แบบสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะรายในที่นี้ ควรแยกออกจากแบบสอบถามหรือแบบเก็บข้อมูลผู้ป่วยขณะที่มีการระบาด
ทักษะสำคัญในการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
1) การรวบรวมข้อมูลทางระบาดวิทยาของผู้ป่วยได้ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งแสดงผ่านทางรายงานการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย ที่มีการเขียนข้อมูลการป่วยแต่ละรายอย่างละเอียดตามลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เริ่มมีอาการ การดำเนินโรค ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการรักษา
2) การเก็บวัตถุตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีหลักการดังนี้
- เลือกเก็บตัวอย่างอะไร
- บริเวณไหนที่จะมีโอกาสพบเชื้อสูง
- ช่วงระยะเวลาที่เก็บเมื่อใด
- ใส่ภาชนะอะไร
- อาหารเก็บรักษาเชื้อที่เหมาะสม
- นำวัตถุตัวอย่างส่งตรวจอย่างไร
- ข้อมูลของคนไข้ (ในใบนำส่ง เพื่อให้จับคู่ผลตรวจกับข้อมูลผู้ป่วยได้)
อ้างอิง : มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ฉบับปรับปรุงใหม่ 2555 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
วัตถุประสงค์ของการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
1) เพื่อยืนยันการรายงานโรค
2) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคต่อไป
3) เพื่อเข้าใจถึงลักษณะการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละราย
ขั้นตอนการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
มีขั้นตอนการสอบสวนผู้ป่วยดังนี้
1) รวบรวมข้อมูลการป่วย ไปพบผู้ป่วย หรือญาติที่สถานที่รักษาพยาบาล พบแพทย์/ผู้ให้การรักษา และสอบสวนเพิ่มเติมที่บ้านผู้ป่วย โดยรวบรวมข้อมูล
- ประวัติ อาการและอาการแสดง
- การวินิจฉัยของแพทย์
- ผลการตรวจทางห้องชันสูตร
- สภาพแวดล้อมของผู้ป่วย
- ข้อมูลอื่นตามชนิดของโรค เช่น โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ต้องมีข้อมูลประวัติ การได้รับวัคซีนในผู้ป่วย และความครอบคลุมการได้รับวัคซีนในพื้นที่ เป็นต้น
2) ค้นหาขอบเขตการกระจายของโรคในคน เน้นผู้สัมผัสในครอบครัวของผู้ป่วยและผู้สัมผัสในชุมชน ค้นหาผู้ที่มีอาการป่วยก่อนและหลังรายที่สอบสวน (Index case) ถ้าพบผู้ป่วยรายอื่นอีก ควรตรวจสอบข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของพื้นที่ หากมีลักษณะของการระบาด ให้เปลี่ยนเป็นสอบสวนการระบาดแทน
3) เก็บตัวอย่างส่งตรวจ ช่วยให้มั่นใจว่าการมีผู้ป่วยเพียงรายเดียวนั้น เชื้อโรคสาเหตุได้กระจายไปในสิ่งแวดล้อมและผู้สัมผัสมากน้อยเพียงไร
4) ควบคุมโรค (ขั้นต้น) รีบดำเนินการทำลายเชื้อในสิ่งแวดล้อมและผู้สัมผัส รวมถึง มาตรการควบคุมโรคอื่นๆ เช่น รณรงค์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อชุมชน (Herd immunity)
5) เขียนรายงาน เป็นการเสนอรายละเอียดทั้งหมดให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ พร้อมกับ “แบบสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย” ที่สมบูรณ์
แบบสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้รวบรวมข้อมูลได้รายละเอียดในประเด็นสำคัญครบถ้วน และช่วยในการเรียบเรียง วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจากการสอบสวนโรคหลายๆ ครั้ง
แบบสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะรายในที่นี้ ควรแยกออกจากแบบสอบถามหรือแบบเก็บข้อมูลผู้ป่วยขณะที่มีการระบาด
ทักษะสำคัญในการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย
1) การรวบรวมข้อมูลทางระบาดวิทยาของผู้ป่วยได้ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งแสดงผ่านทางรายงานการสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย ที่มีการเขียนข้อมูลการป่วยแต่ละรายอย่างละเอียดตามลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เริ่มมีอาการ การดำเนินโรค ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการรักษา
2) การเก็บวัตถุตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีหลักการดังนี้
- เลือกเก็บตัวอย่างอะไร
- บริเวณไหนที่จะมีโอกาสพบเชื้อสูง
- ช่วงระยะเวลาที่เก็บเมื่อใด
- ใส่ภาชนะอะไร
- อาหารเก็บรักษาเชื้อที่เหมาะสม
- นำวัตถุตัวอย่างส่งตรวจอย่างไร
- ข้อมูลของคนไข้ (ในใบนำส่ง เพื่อให้จับคู่ผลตรวจกับข้อมูลผู้ป่วยได้)
อ้างอิง : มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ฉบับปรับปรุงใหม่ 2555 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
ห้างหุ้นส่วนคืออะไร มีกี่ประเภท
ห้างหุ้นส่วน คือ การที่บุคคลตั้งแต่2 คนขึ้นไปตกลงทำการค้าร่วมกันเพื่อแสวงหากำไรและแบ่งผลกำไรจากการดำเนินกิจการนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนสามารถลงหุ้นด้วย เงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานก็ได้ถ้าลงหุ้นด้วย
ทรัพย์สินหรือแรงงาน ต้องตีราคาเป็นจำนวนเงิน
ห้างหุ้นส่วนมี 2 ประเภท คือ
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือ ห้างหุ้นส่วนที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทเดียว คือ หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด โดยหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมด ห้างหุ้นส่วนสามัญจะจดทะเบียนหรือไม่ก็ได้ถ้าจดทะเบียนจะเรียกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด คือ ห้างหุ้นส่วนที่มีหุ้นส่วน 2 ประเภท ได้แก่ หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด จะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่ตนลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดและหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดจะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้รับผิดร่วมกันในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมด
หุ้นส่วนผู้จัดการจะต้องเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องจดทะเบียน ถ้าไม่จดทะเบียนถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ
อ้างอิง : คู่มือ สิ่งที่ต้องรู้เมื่อเป็นห้างหุ้นส่วนบริษัท, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2555
ทรัพย์สินหรือแรงงาน ต้องตีราคาเป็นจำนวนเงิน
ห้างหุ้นส่วนมี 2 ประเภท คือ
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือ ห้างหุ้นส่วนที่มีผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทเดียว คือ หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด โดยหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมด ห้างหุ้นส่วนสามัญจะจดทะเบียนหรือไม่ก็ได้ถ้าจดทะเบียนจะเรียกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลและมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด คือ ห้างหุ้นส่วนที่มีหุ้นส่วน 2 ประเภท ได้แก่ หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด จะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่ตนลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดและหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดจะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้รับผิดร่วมกันในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนทั้งหมด
หุ้นส่วนผู้จัดการจะต้องเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องจดทะเบียน ถ้าไม่จดทะเบียนถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ
อ้างอิง : คู่มือ สิ่งที่ต้องรู้เมื่อเป็นห้างหุ้นส่วนบริษัท, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2555
รีวิว Kansai Yakitori Nabe ร้านอาหารญี่ปุ่นห้างเซนจูรี่ ^ ^
มีร้านอาหารญี่ปุ่นน่าสนใจแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมาแนะนำกันครับ เป็นร้านที่ตั้งอยู่บนห้าง Century น่ะครับ ชื่อว่า Kansai Yakitori Nabe - คันไซ ยากิโทรินาเบะ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีเมนูปิ้งย่างน่าสนใจครับ
ตอนที่ไปกินน่ะ เกือบ 3 ทุ่มได้แล้วครับ พนักงานหน้าตาหมดอาลัยตายอยากมากๆ ดูไม่ค่อยจะมีใจให้บริการ แต่บางคนก็ดูฝืนๆยิ้มอยู่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆบริการดรอปชัดมากๆ ... แต่ก็เอาน่า เข้าใจว่าเหนื่อยกันมาทั้งวัน ได้แค่นี้ก็เอาน่า
บรรยากาศในร้านครับ ย่านนั้นแม้จะ 3 ทุ่มแล้วก็ยังมีคนนั่งกินอยู่เลยครับ
สั่งไม่กี่เมนูครับ เพราะไปนั่งกินกับคุณภรรยาสองคน คุณภรรยาสั่งราเม็ง ... อร่อยนะครับ ชามใหญ่ ได้เยอะกินแทบไม่หมด
แต่เมนูเด็ดประจำร้านเค้า คือนี่ครับ พวกปิ้งย่าง Grill ทั้งหลายครับ ... พอได้ชิมก็รู้ว่าร้าน Kansai ทำเมนูปิ้งย่างอร่อยครับ น่าจะเป็นธีมหลักสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ครับ
ย่างมากำลังดี รสชาติก็หอมๆ อร่อยมากๆ
โดยรวม แม้จะได้ชิมไม่กี่เมนู แต่ก็พอจะคอนเฟิร์มได้ระดับหนึ่งครับ ว่าน่าจะอร่อยหลายๆอย่าง
ร้านนี้เป็นของพิซซ่านารายพิซซาเรียน่ะครับ ลองจับอาหารญี่ปุ่นบ้าง แม้จะตรงข้ามกับอิตาเลี่ยน แต่ทำได้ดี อร่อยดีทีเดียวครับ
ถ้าอยากกินอาหารญี่ปุ่นกัน ก็ไปลอง Kansai Yakitori Nabe กันได้ครับ ส่วนตัวมองว่าอร่อย เกินมาตรฐานนิดหน่อยครับ แต่ไม่ถึงกับอร่อยเว่อร์มากมายนักครับ
ตอนที่ไปกินน่ะ เกือบ 3 ทุ่มได้แล้วครับ พนักงานหน้าตาหมดอาลัยตายอยากมากๆ ดูไม่ค่อยจะมีใจให้บริการ แต่บางคนก็ดูฝืนๆยิ้มอยู่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆบริการดรอปชัดมากๆ ... แต่ก็เอาน่า เข้าใจว่าเหนื่อยกันมาทั้งวัน ได้แค่นี้ก็เอาน่า
บรรยากาศในร้านครับ ย่านนั้นแม้จะ 3 ทุ่มแล้วก็ยังมีคนนั่งกินอยู่เลยครับ
สั่งไม่กี่เมนูครับ เพราะไปนั่งกินกับคุณภรรยาสองคน คุณภรรยาสั่งราเม็ง ... อร่อยนะครับ ชามใหญ่ ได้เยอะกินแทบไม่หมด
แต่เมนูเด็ดประจำร้านเค้า คือนี่ครับ พวกปิ้งย่าง Grill ทั้งหลายครับ ... พอได้ชิมก็รู้ว่าร้าน Kansai ทำเมนูปิ้งย่างอร่อยครับ น่าจะเป็นธีมหลักสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ครับ
ย่างมากำลังดี รสชาติก็หอมๆ อร่อยมากๆ
โดยรวม แม้จะได้ชิมไม่กี่เมนู แต่ก็พอจะคอนเฟิร์มได้ระดับหนึ่งครับ ว่าน่าจะอร่อยหลายๆอย่าง
ร้านนี้เป็นของพิซซ่านารายพิซซาเรียน่ะครับ ลองจับอาหารญี่ปุ่นบ้าง แม้จะตรงข้ามกับอิตาเลี่ยน แต่ทำได้ดี อร่อยดีทีเดียวครับ
ถ้าอยากกินอาหารญี่ปุ่นกัน ก็ไปลอง Kansai Yakitori Nabe กันได้ครับ ส่วนตัวมองว่าอร่อย เกินมาตรฐานนิดหน่อยครับ แต่ไม่ถึงกับอร่อยเว่อร์มากมายนักครับ
สารไล่ยุงชนิดใช้ทาผิว
สารไล่ยุงชนิดใช้ทาผิว อาจอยู่ในรูปของเหลว (cream หรือ lotion), เป็นวุ้น (gel), เป็นของเหลวคล้ายน้ำ (liquid), เป็นน้ำมัน (oil) และเป็นแป้ง (talcum powder) สารออกฤทธิ์หลักในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นสารเคมีจำพวก deet และที่เป็นสารสกัดจากพืช (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรูปแบบของผลิตภัณฑ์) ได้แก่
การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มทาผิวที่มี deet เป็นสารออกฤทธิ์หลักนี้ ก่อนซื้อควรพิจารณาว่ามีสารออกฤทธิ์มากน้อยเพียงใด สำหรับผู้ใหญ่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet อยู่ระหว่าง 15-20% ส่วนเด็กไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet มากกว่า 10% และต้องใช้ตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนฉลากอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้กับเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี ห้ามทาบริเวณตา (บางผลิตภัณฑ์ห้ามใช้ทาบนผิวหน้า) ผิวที่มีรอยถลอกหรือมีแผล และไม่ควรทาซ้ำในช่วงระยะเวลาสั้นๆ (โดยทั่วไปการทาครั้งหนึ่งๆจะให้ผลในการไล่ยุงได้นานประมาณ 4 ชั่วโมง) ไม่ควรใช้ทุกวันติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ควรใช้กับสตรีมีครรภ์และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ไม่ควรทาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่มือเด็ก เพราะเด็กอาจเผลอขยี้ตาหรือหยิบจับอาหารและสิ่งของใส่ปากซึ่งจะทำให้ได้รับ สารเคมีนั้นเข้าไปในร่างกาย หลังจากทาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผิวแล้วพบว่ามีอาการแพ้ เช่น เป็นผื่น ผิวแดง หรือรู้สึกร้อน ต้องหยุดใช้ทันที ล้างผิวบริเวณที่ทาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงด้วยน้ำกับสบู่ แล้วรีบไปพบแพทย์พร้อมกับนำผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ใช้นั้นไปให้แพทย์ดูด้วย ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มี deet เป็นสารออกฤทธิ์หลักได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากขึ้น โดยบริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาแถลงว่า สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงรูปแบบใหม่ โดย deet จะถูกบรรจุอยู่ภายในแคปซูลที่มีขนาดเล็กมาก (micro encapsulated formulation) ซึ่งเปลือกแคปซูลนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง (Micale protein)ที่ปลอดภัยต่อผิว เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปภายในผิวก็จะไม่มีอันตรายใดๆ แต่กลับจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว หลังจากทาผลิตภัณฑ์นี้แล้ว เปลือกแคปซูลจะค่อยๆถูกดูดซึมอย่างช้าๆเข้าไปในผิวและทำให้ deet ที่ถูกบรรจุอยู่ภายในแคปซูลนั้นออกฤทธิ์ในการไล่ยุงต่อไป และ deet จะระเหยไปได้หมดก่อนที่จะมีโอกาสแทรกซึมเข้าสู่ผิว และผลิตภัณฑ์นี้สามารถออกฤทธิ์ในการไล่ยุงได้นานถึง 24 ชั่วโมง
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
- deet 24% v/v
- deet 20% w/w
- deet 15% w/w
- deet 7.5% w/w
- deet 2% w/v
- dimethyl phthalate 24% v/v
- diethyl toluamide
- Eucalyptus citriodora 15% w/w
การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มทาผิวที่มี deet เป็นสารออกฤทธิ์หลักนี้ ก่อนซื้อควรพิจารณาว่ามีสารออกฤทธิ์มากน้อยเพียงใด สำหรับผู้ใหญ่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet อยู่ระหว่าง 15-20% ส่วนเด็กไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet มากกว่า 10% และต้องใช้ตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนฉลากอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้กับเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี ห้ามทาบริเวณตา (บางผลิตภัณฑ์ห้ามใช้ทาบนผิวหน้า) ผิวที่มีรอยถลอกหรือมีแผล และไม่ควรทาซ้ำในช่วงระยะเวลาสั้นๆ (โดยทั่วไปการทาครั้งหนึ่งๆจะให้ผลในการไล่ยุงได้นานประมาณ 4 ชั่วโมง) ไม่ควรใช้ทุกวันติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ควรใช้กับสตรีมีครรภ์และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ไม่ควรทาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่มือเด็ก เพราะเด็กอาจเผลอขยี้ตาหรือหยิบจับอาหารและสิ่งของใส่ปากซึ่งจะทำให้ได้รับ สารเคมีนั้นเข้าไปในร่างกาย หลังจากทาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ผิวแล้วพบว่ามีอาการแพ้ เช่น เป็นผื่น ผิวแดง หรือรู้สึกร้อน ต้องหยุดใช้ทันที ล้างผิวบริเวณที่ทาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงด้วยน้ำกับสบู่ แล้วรีบไปพบแพทย์พร้อมกับนำผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ใช้นั้นไปให้แพทย์ดูด้วย ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มี deet เป็นสารออกฤทธิ์หลักได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากขึ้น โดยบริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาแถลงว่า สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ไล่ยุงรูปแบบใหม่ โดย deet จะถูกบรรจุอยู่ภายในแคปซูลที่มีขนาดเล็กมาก (micro encapsulated formulation) ซึ่งเปลือกแคปซูลนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง (Micale protein)ที่ปลอดภัยต่อผิว เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปภายในผิวก็จะไม่มีอันตรายใดๆ แต่กลับจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว หลังจากทาผลิตภัณฑ์นี้แล้ว เปลือกแคปซูลจะค่อยๆถูกดูดซึมอย่างช้าๆเข้าไปในผิวและทำให้ deet ที่ถูกบรรจุอยู่ภายในแคปซูลนั้นออกฤทธิ์ในการไล่ยุงต่อไป และ deet จะระเหยไปได้หมดก่อนที่จะมีโอกาสแทรกซึมเข้าสู่ผิว และผลิตภัณฑ์นี้สามารถออกฤทธิ์ในการไล่ยุงได้นานถึง 24 ชั่วโมง
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
การป้องกันและควบคุมโรคไข้มาลาเรีย
การป้องกันตนเองด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อไม่ให้ถูกยุงกัด เป็นการลดโอกาสเสี่ยงการเป็นไข้มาลาเรียและลดการแพร่เชื้อไข้มาลาเรียจากผู้ที่ป่วยเป็นไข้มาลาเรีย ไปยังบุคคลอื่น มีวิธีการต่างๆ ดังนี้
1. การนอนในมุ้ง การใช้มุ้งป้องกันการเกิดโรคจากยุงกัดได้มีมาหลายร้อยปีแล้ว มุ้งที่ใช้ควรอยู่ในสภาพดีไม่มีรูขาดและเสียหาย ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันลดลง ขนาดของเส้นด้ายที่ทำมุ้งควรมีขนาดประมาณ 1-1.8 มิลลิเมตร และจำนวนของตาข่ายไม่ควรต่ำกว่า 156 รูต่อตารางนิ้ว ซึ่งจะทำให้ไม่ร้อนอากาศสามารถผ่านได้ แต่ถ้าจำนวนรูตาข่ายมีมากกว่านี้ก็จะสามารถป้องกันแมลงที่มีขนาดเล็กได้ สำหรับมุ้งขนาดมาตรฐานทั่วไป มีพื้นที่ประมาณ 14 ตารางเมตร องค์ประกอบอื่นๆ ของมุ้ง เช่น วัสดุที่ใช้ทำมุ้งอาจเป็นเส้นใยสังเคราะห์ หรือทำจากเส้นใยฝ้าย รูปแบบของมุ้งมีหลากหลาย เช่น มุ้งรูปทรงสี่เหลี่ยม มุ้งรูปทรงกลม มุ้งสำหรับคนเดินป่า หรือมุ้งทหาร มุ้งประกอบเปลสำหรับผูกนอนกับต้นไม้ หรือเปลที่เย็บมุ้งติดไว้ด้วยกัน
2. การสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิด เช่น ใช้เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เป็นต้น เสื้อผ้าควรจะมีความหนาพอเพียงและควรจะหลวมเล็กน้อยไม่กระชับติดร่างกาย สีและวัสดุที่นำมาทำเสื้อผ้าก็มีส่วนในการลดยุงกัดได้ เช่นผ้าที่มีสีดำมักดึงดูดความสนใจให้ยุงกัดได้มาก และได้มีการศึกษาในกลุ่มทหารให้สวมเสื้อผ้าอย่างมิดชิดทำให้ลดการติดโรคที่นำโดยยุงได้ นอกจากนั้นประชาชนกลุ่มเสี่ยงบางกลุ่ม เช่น กลุ่มคนกรีดยางในสวนยางอาจใช้เสื้อคลุมตาข่ายชุบสารเคมี หรือเสื้อกั๊กชุบสารเคมีสวมทับเสื้อผ้าที่ใช้อยู่ก็จะสามารถลดการถูกยุงกัด ได้ระดับหนึ่ง
3. การใช้ยาทากันยุงกัด (Mosquito repellent) ยาทากันยุง หรือยาทาไล่ยุง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้ยุงมากัด ส่วนประกอบของยาทากันยุง ได้แก่ Benzyl benzoate, Butylethyl
propanediol, DEET (N.N.-diethyl – 3 – toluamide), Dibutyl phthalate, Dimethyl carbamate, Dimethylphthalate, Ethyl hexanediol, Butopyronoxyl และ 2-chlorodiethyl benzamide ยาทากันยุงนี้ ผลิตภัณฑ์อาจเป็นน้ำ หรือครีม หรือเป็นแท่ง (stick) และต้องมีประสิทธิภาพในการขับไล่ยุงได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง และบางชนิดมีคุณสมบัติป้องกันได้ถึง 15 ชั่วโมง ประสิทธิภาพของยาทากันยุงขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์และความทั่วถึงของการทายาทากันยุงด้วย โดยทั่วไปยาทากันยุงมักนิยมใช้ขณะอยู่นอกบ้าน ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ต้องเสี่ยงต่อการถูกยุงกัดในขณะอยู่นอกมุ้ง และใช้ในกลุ่มประชาชนที่มีอาชีพหรือการดำเนินชีวิตที่เสี่ยงต่อการถูกยุง พาหะกัดได้ง่าย เช่น การกรีดยาง การทำไร่สับปะรด เป็นต้น การใช้ยาทากันยุงต้องใช้ทาบริเวณที่มีโอกาสจะถูกยุงกัด ได้แก่ แขน ขา ใบหู หลังคอ และส่วนที่อยู่นอกเสื้อผ้า
4. การใช้ยาจุดกันยุง (Mosquito coils and sticks) ยาจุดกันยุง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ยากันยุงซึ่งเมื่อใช้จุดไฟแล้วสามารถระเหยสารออกฤทธิ์ขับไล่และฆ่ายุงได้ มีคุณสมบัติในการฆ่ายุงหรือไล่ไม่ให้เข้ามาในบริเวณดังกล่าว ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ซึ่งผลิตออกมาในท้องตลาด ส่วนใหญ่มีสารเคมีผสมไว้ในยาจุดไล่ยุงด้วย จึงทำให้ผู้ใช้อาจเกิดการระคายเคืองได้ แต่มีสารเคมีบางกลุ่ม เช่น กลุ่มไพริทรอยด์ สามารถนำมาผสมในยาจุดไล่ยุง และค่อนข้างปลอดภัยต่อมนุษย์
5. การใช้ตาข่ายกันยุงกัด หรือ การใช้มุ้งลวด ปัจจุบันมีการใช้ตาข่ายกันยุงกัดทั่วไปในเขตเมือง หรือตามชนบทบางแห่งก็สามารถซื้อหาได้สะดวก ตาข่ายอาจทำด้วยไนล่อนหรือโลหะเช่น ลวด ซึ่งต้องมีการออกแบบอย่างดีเพื่อปิดกั้นช่องซึ่งยุงสามารถลอดผ่านได้ โดยเฉพาะการทำตาข่ายป้องกันที่ประตู หน้าต่างต้องทำให้มุมประตูและหน้าต่าง แข็งแรงไม่เสียหายได้ง่าย ประตูควรเปิดออกด้านนอก ขนาดของตาข่ายขึ้นอยู่กับขนาดของวัสดุ เช่น ลวดที่ใช้ทำตาข่าย ขนาดของตาข่ายที่เหมาะสมคือ 16-18 รูต่อนิ้ว
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
1. การนอนในมุ้ง การใช้มุ้งป้องกันการเกิดโรคจากยุงกัดได้มีมาหลายร้อยปีแล้ว มุ้งที่ใช้ควรอยู่ในสภาพดีไม่มีรูขาดและเสียหาย ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันลดลง ขนาดของเส้นด้ายที่ทำมุ้งควรมีขนาดประมาณ 1-1.8 มิลลิเมตร และจำนวนของตาข่ายไม่ควรต่ำกว่า 156 รูต่อตารางนิ้ว ซึ่งจะทำให้ไม่ร้อนอากาศสามารถผ่านได้ แต่ถ้าจำนวนรูตาข่ายมีมากกว่านี้ก็จะสามารถป้องกันแมลงที่มีขนาดเล็กได้ สำหรับมุ้งขนาดมาตรฐานทั่วไป มีพื้นที่ประมาณ 14 ตารางเมตร องค์ประกอบอื่นๆ ของมุ้ง เช่น วัสดุที่ใช้ทำมุ้งอาจเป็นเส้นใยสังเคราะห์ หรือทำจากเส้นใยฝ้าย รูปแบบของมุ้งมีหลากหลาย เช่น มุ้งรูปทรงสี่เหลี่ยม มุ้งรูปทรงกลม มุ้งสำหรับคนเดินป่า หรือมุ้งทหาร มุ้งประกอบเปลสำหรับผูกนอนกับต้นไม้ หรือเปลที่เย็บมุ้งติดไว้ด้วยกัน
2. การสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิด เช่น ใช้เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เป็นต้น เสื้อผ้าควรจะมีความหนาพอเพียงและควรจะหลวมเล็กน้อยไม่กระชับติดร่างกาย สีและวัสดุที่นำมาทำเสื้อผ้าก็มีส่วนในการลดยุงกัดได้ เช่นผ้าที่มีสีดำมักดึงดูดความสนใจให้ยุงกัดได้มาก และได้มีการศึกษาในกลุ่มทหารให้สวมเสื้อผ้าอย่างมิดชิดทำให้ลดการติดโรคที่นำโดยยุงได้ นอกจากนั้นประชาชนกลุ่มเสี่ยงบางกลุ่ม เช่น กลุ่มคนกรีดยางในสวนยางอาจใช้เสื้อคลุมตาข่ายชุบสารเคมี หรือเสื้อกั๊กชุบสารเคมีสวมทับเสื้อผ้าที่ใช้อยู่ก็จะสามารถลดการถูกยุงกัด ได้ระดับหนึ่ง
3. การใช้ยาทากันยุงกัด (Mosquito repellent) ยาทากันยุง หรือยาทาไล่ยุง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้ยุงมากัด ส่วนประกอบของยาทากันยุง ได้แก่ Benzyl benzoate, Butylethyl
propanediol, DEET (N.N.-diethyl – 3 – toluamide), Dibutyl phthalate, Dimethyl carbamate, Dimethylphthalate, Ethyl hexanediol, Butopyronoxyl และ 2-chlorodiethyl benzamide ยาทากันยุงนี้ ผลิตภัณฑ์อาจเป็นน้ำ หรือครีม หรือเป็นแท่ง (stick) และต้องมีประสิทธิภาพในการขับไล่ยุงได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง และบางชนิดมีคุณสมบัติป้องกันได้ถึง 15 ชั่วโมง ประสิทธิภาพของยาทากันยุงขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์และความทั่วถึงของการทายาทากันยุงด้วย โดยทั่วไปยาทากันยุงมักนิยมใช้ขณะอยู่นอกบ้าน ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ต้องเสี่ยงต่อการถูกยุงกัดในขณะอยู่นอกมุ้ง และใช้ในกลุ่มประชาชนที่มีอาชีพหรือการดำเนินชีวิตที่เสี่ยงต่อการถูกยุง พาหะกัดได้ง่าย เช่น การกรีดยาง การทำไร่สับปะรด เป็นต้น การใช้ยาทากันยุงต้องใช้ทาบริเวณที่มีโอกาสจะถูกยุงกัด ได้แก่ แขน ขา ใบหู หลังคอ และส่วนที่อยู่นอกเสื้อผ้า
4. การใช้ยาจุดกันยุง (Mosquito coils and sticks) ยาจุดกันยุง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ยากันยุงซึ่งเมื่อใช้จุดไฟแล้วสามารถระเหยสารออกฤทธิ์ขับไล่และฆ่ายุงได้ มีคุณสมบัติในการฆ่ายุงหรือไล่ไม่ให้เข้ามาในบริเวณดังกล่าว ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ซึ่งผลิตออกมาในท้องตลาด ส่วนใหญ่มีสารเคมีผสมไว้ในยาจุดไล่ยุงด้วย จึงทำให้ผู้ใช้อาจเกิดการระคายเคืองได้ แต่มีสารเคมีบางกลุ่ม เช่น กลุ่มไพริทรอยด์ สามารถนำมาผสมในยาจุดไล่ยุง และค่อนข้างปลอดภัยต่อมนุษย์
5. การใช้ตาข่ายกันยุงกัด หรือ การใช้มุ้งลวด ปัจจุบันมีการใช้ตาข่ายกันยุงกัดทั่วไปในเขตเมือง หรือตามชนบทบางแห่งก็สามารถซื้อหาได้สะดวก ตาข่ายอาจทำด้วยไนล่อนหรือโลหะเช่น ลวด ซึ่งต้องมีการออกแบบอย่างดีเพื่อปิดกั้นช่องซึ่งยุงสามารถลอดผ่านได้ โดยเฉพาะการทำตาข่ายป้องกันที่ประตู หน้าต่างต้องทำให้มุมประตูและหน้าต่าง แข็งแรงไม่เสียหายได้ง่าย ประตูควรเปิดออกด้านนอก ขนาดของตาข่ายขึ้นอยู่กับขนาดของวัสดุ เช่น ลวดที่ใช้ทำตาข่าย ขนาดของตาข่ายที่เหมาะสมคือ 16-18 รูต่อนิ้ว
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันโรคไข้เลือดออก
จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาปรากฏว่า การควบคุมโรคไข้เลือดออกโดยหน่วยงานสาธารณสุขทุกระดับเพียงอย่างเดียวไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ หรืออาจบังเกิดผลแต่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้น ขณะนี้หลายจังหวัดได้พยายามหารูปแบบการควบคุมโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีรูปแบบต่างๆดังนี้
1. การรณรงค์ โดยการระดมความร่วมมือของผู้นำชุมชน นักเรียน กลุ่มกิจกรรม และประชาชน เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายในชุมชนเป็นครั้งคราวหรือในเทศกาลต่างๆ
2. การร่วมมือกับโรงเรียน ในการสอนนักเรียนให้มีความรู้เรื่องการควบคุมยุงลาย และมอบหมายกิจกรรมให้นักเรียนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน อาจดำเนินการอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีหรือเป็นครั้งคราวร่วมกับการรณรงค์
3. การจัดหาทรายกำจัดลูกน้ำมาจำหน่ายในกองทุนพัฒนาหมู่บ้านในราคาถูก บางแห่งอาจจัดอาสาสมัครไปสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามบ้านเรือน และใส่ทรายกำจัดลูกน้ำให้เป็นประจำโดยคิดค่าบริการราคาถูก การดำเนินงานในรูปแบบดังกล่าวเพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของปัญหาและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ควรจะได้รับการส่งเสริมและปฏิบัติให้แพร่หลายมากที่สุด โดยเน้นปัจจัยสำคัญคือความครอบคลุม ความสม่ำเสมอและความต่อเนื่อง โครงการทดลองควบคุมโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน หลายโครงการประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในระยะการดำเนินงานของโครงการ แต่ไม่สามารถดำเนินการให้ต่อเนื่องในระยะยาวได้ ความร่วมมือของชุมชนในการควบคุมโรคไข้เลือดออก ต้องเป็นแบบผสมผสาน ประกอบด้วยส่วนร่วมจากหลายๆ ด้าน เช่น
3.1 ด้านสาธารณสุข
- ให้สุขศึกษา สนับสนุนเคมีภัณฑ์และการควบคุมโรค
3.2 ด้านการศึกษา
- สอนการควบคุมโรคแก่นักเรียน และกระตุ้นให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
3.3 ด้านการปกครอง
- ให้การสนับสนุนการควบคุมโรคผ่านข่ายงานการปกครองท้องถิ่น
3.4 ด้านประชาสัมพันธ์
- เผยแพร่ข่าวสารความรู้เกี่ยวกับการควบคุมโรค และการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตื่นตัวในการควบคุมโรค
3.5 ด้านเอกชน
- ให้การสนับสนุนทรัพยากร หรือเข้าร่วมกิจกรรมการควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน
แต่ละจังหวัดมีแหล่งทรัพยากร องค์กร บุคลากร และความคล่องตัวที่จะจัดหารูปแบบความร่วมมือภายในท้องถิ่น จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือ การจัดการให้ฝ่ายต่างๆ ได้มาร่วมกันมองปัญหาและวางแผนแก้ไขปัญหาด้วยกัน การผสมผสานความร่วมมือจะต้องทำทั้งระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในภาครัฐก็ต้องผสมผสานระหว่างหน่วยราชการต่างวิชาชีพ ต่างสังกัด และต่างระดับเพื่อสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมในการควบคุมโรคโดยประชาชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
1. การรณรงค์ โดยการระดมความร่วมมือของผู้นำชุมชน นักเรียน กลุ่มกิจกรรม และประชาชน เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายในชุมชนเป็นครั้งคราวหรือในเทศกาลต่างๆ
2. การร่วมมือกับโรงเรียน ในการสอนนักเรียนให้มีความรู้เรื่องการควบคุมยุงลาย และมอบหมายกิจกรรมให้นักเรียนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน อาจดำเนินการอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีหรือเป็นครั้งคราวร่วมกับการรณรงค์
3. การจัดหาทรายกำจัดลูกน้ำมาจำหน่ายในกองทุนพัฒนาหมู่บ้านในราคาถูก บางแห่งอาจจัดอาสาสมัครไปสำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามบ้านเรือน และใส่ทรายกำจัดลูกน้ำให้เป็นประจำโดยคิดค่าบริการราคาถูก การดำเนินงานในรูปแบบดังกล่าวเพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของปัญหาและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ควรจะได้รับการส่งเสริมและปฏิบัติให้แพร่หลายมากที่สุด โดยเน้นปัจจัยสำคัญคือความครอบคลุม ความสม่ำเสมอและความต่อเนื่อง โครงการทดลองควบคุมโรคไข้เลือดออกโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน หลายโครงการประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในระยะการดำเนินงานของโครงการ แต่ไม่สามารถดำเนินการให้ต่อเนื่องในระยะยาวได้ ความร่วมมือของชุมชนในการควบคุมโรคไข้เลือดออก ต้องเป็นแบบผสมผสาน ประกอบด้วยส่วนร่วมจากหลายๆ ด้าน เช่น
3.1 ด้านสาธารณสุข
- ให้สุขศึกษา สนับสนุนเคมีภัณฑ์และการควบคุมโรค
3.2 ด้านการศึกษา
- สอนการควบคุมโรคแก่นักเรียน และกระตุ้นให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
3.3 ด้านการปกครอง
- ให้การสนับสนุนการควบคุมโรคผ่านข่ายงานการปกครองท้องถิ่น
3.4 ด้านประชาสัมพันธ์
- เผยแพร่ข่าวสารความรู้เกี่ยวกับการควบคุมโรค และการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตื่นตัวในการควบคุมโรค
3.5 ด้านเอกชน
- ให้การสนับสนุนทรัพยากร หรือเข้าร่วมกิจกรรมการควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน
แต่ละจังหวัดมีแหล่งทรัพยากร องค์กร บุคลากร และความคล่องตัวที่จะจัดหารูปแบบความร่วมมือภายในท้องถิ่น จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือ การจัดการให้ฝ่ายต่างๆ ได้มาร่วมกันมองปัญหาและวางแผนแก้ไขปัญหาด้วยกัน การผสมผสานความร่วมมือจะต้องทำทั้งระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในภาครัฐก็ต้องผสมผสานระหว่างหน่วยราชการต่างวิชาชีพ ต่างสังกัด และต่างระดับเพื่อสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมในการควบคุมโรคโดยประชาชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
การป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด, ไข้เลือดออก
หากทำได้ ควรกรุหน้าต่างประตูและช่องลมด้วยมุ้งลวด ตรวจตราซ่อมแซมฝาบ้าน ฝ้าเพดาน อย่าให้มีร่อง ช่องโหว่หรือรอยแตก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้ามาอยู่และหลบซ่อนในบ้านเวลาเข้า-ออกต้องใช้ผ้าปัดประตูมุ้งลวดก่อนเพื่อไล่ยุงลายที่อาจมาบินวน เวียนหาทางเข้ามาในบ้าน นอกจากนี้ควรเก็บสิ่งของในบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ เสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วควรเก็บซักทันทีหรือนำไปผึ่งแดด/ผึ่งลมภายนอกบ้าน เพราะหากมียุงลายเล็ดลอดเข้ามาอยู่ในบ้านบริเวณที่จะเป็นแหล่งเกาะพักของยุงลายส่วนมาก คือ ราวพาดผ้า กองเสื้อผ้าที่มีกลิ่น เหงื่อไคล มุ้ง สายไฟ ตามมุมมืดของห้องและเครื่องเรือนต่างๆ แต่ถึงแม้ว่าบ้านทั้งหลังจะถูกกรุด้วยมุ้งลวดแล้วก็ตาม หากจะนอนพักผ่อนในเวลากลางวันก็ควรนอนในมุ้งตลอดเวลา การนั่งทำงาน นั่งเล่น ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์อยู่ในบ้านก็ควรอยู่ในบริเวณที่มีลมพัดผ่านและมีแสงสว่างพอเพียง อาจใช้ยากันยุงหรือทาสารที่มีคุณสมบัติไล่ยุงซึ่งในปัจจุบันมีจำหน่ายตามร้านค้ามากมายหลายยี่ห้อด้วยกัน จำเป็นต้องเลือกซื้อและเลือกใช้ให้เหมาะสม ดังนั้น การป้องกันตนเองและผู้ใกล้ชิดไม่ให้ถูกยุงลายกัดอาจทำได้ดังนี้
1. นอนในมุ้ง
2. สวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และควรใช้สีอ่อนๆ ในต่างประเทศเนื้อผ้าจะค่อนข้างหนาเพื่อป้องกันความหนาวเย็นได้ด้วยและอาจมีตาข่ายคลุมหน้าหากเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มียุงและแมลงชุกชุมมากๆ สำหรับประเทศเขตร้อนสามารถใช้ผ้าเนื้อบางได้ ตัวเสื้อและกางเกงจะต้องไม่รัดรูปจึงจะสามารถลดหรือป้องกันยุงกัดได้ บริเวณที่เสื้อและกางเกงปกคลุมไม่ได้ ควรทาสารไล่ยุงหรือสารป้องกันยุงกัดร่วมด้วย
3. ใช้สารไล่ยุง (Mosquito Repellents) สารไล่ยุงที่มีจำหน่ายส่วนใหญ่มีสารออกฤทธิ์จำพวก deet (N, N - Diethyl - m - toluamide) ในระดับความเข้มข้นต่างๆ กันและมีหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเป็นขด เป็นแผ่นเป็นครีม เป็นน้ำ ฯลฯ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่แตกต่างกันไป เช่น ใช้ทาผิว ใช้ชุบเสื้อผ้าใช้ชุบวัสดุปูพื้น เป็นต้น
3.1 สารไล่ยุงชนิดขด (mosquito coil), ชนิดแผ่น (mat) และชนิดน้ำ (liquid หรือ plug-in vaporising device) ต้องใช้ความร้อนช่วยในการระเหยสารออกฤทธ์ิ จากการสำรวจตามร้านค้าในกรุงเทพมหานคร
พบว่าสารออกฤทธิ์หลัก (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรูปแบบของสารไล่ยุง) ได้แก่
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
1. นอนในมุ้ง
2. สวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และควรใช้สีอ่อนๆ ในต่างประเทศเนื้อผ้าจะค่อนข้างหนาเพื่อป้องกันความหนาวเย็นได้ด้วยและอาจมีตาข่ายคลุมหน้าหากเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มียุงและแมลงชุกชุมมากๆ สำหรับประเทศเขตร้อนสามารถใช้ผ้าเนื้อบางได้ ตัวเสื้อและกางเกงจะต้องไม่รัดรูปจึงจะสามารถลดหรือป้องกันยุงกัดได้ บริเวณที่เสื้อและกางเกงปกคลุมไม่ได้ ควรทาสารไล่ยุงหรือสารป้องกันยุงกัดร่วมด้วย
3. ใช้สารไล่ยุง (Mosquito Repellents) สารไล่ยุงที่มีจำหน่ายส่วนใหญ่มีสารออกฤทธิ์จำพวก deet (N, N - Diethyl - m - toluamide) ในระดับความเข้มข้นต่างๆ กันและมีหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเป็นขด เป็นแผ่นเป็นครีม เป็นน้ำ ฯลฯ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่แตกต่างกันไป เช่น ใช้ทาผิว ใช้ชุบเสื้อผ้าใช้ชุบวัสดุปูพื้น เป็นต้น
3.1 สารไล่ยุงชนิดขด (mosquito coil), ชนิดแผ่น (mat) และชนิดน้ำ (liquid หรือ plug-in vaporising device) ต้องใช้ความร้อนช่วยในการระเหยสารออกฤทธ์ิ จากการสำรวจตามร้านค้าในกรุงเทพมหานคร
พบว่าสารออกฤทธิ์หลัก (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรูปแบบของสารไล่ยุง) ได้แก่
- d-allethrin 4.44% w/w
- pynamin forte 5% w/w
- pynamin forte 4% w/w
- esbiothrin 3% w/w
อ้างอิง : หลักการควบคุมโรคเบื้องต้นสำหรับ SRRT, สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2554
รีวิว Mr. Jones Orphanage ร้านเค้กน่ารักที่ Siam Center ^ ^
เดินผ่านมาหลายรอบแล้วครับ สำหรับร้านเค้กเบเกอรี่และกาแฟเครื่องดื่มต่างๆอย่าง Mr. Jones Orphanage - มิสเตอร์โจนส์ ออร์ฟาเนจ ที่ Siam Center
จนมาบัดนี้ ก็ได้ลองลิ้มชิมรสเสียที!!
สาเหตุที่อยากลองกินที่ร้าน Mr. Jones แห่งนี้ สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก
แบบว่าเดินผ่านร้านแล้วแบบว่าแหมๆๆ ร้านเค้าน่ารักอ่ะครับ อร่อยไหม? ไม่ได้นึกถึงเลย เหอๆๆ
การตกแต่งจะออกแนวไม้ๆ วินเทจกุ๊กกิ๊ก มีตุ๊กตาหมีประดับ ตัดกับเบาะผ้าสีน้ำทะเลตุ่นๆ แล้วก็มีเฟืองหมุนๆอยู่ด้านบน ...
ลักษณะเก้าอี้ที่นี่ก็จะแคบๆหน่อยครับ นั่งลำบากนิดนึงสำหรับคนตัวสูง แต่ดีไซน์คงเหมาะกับเด็กกำพร้าตามชื่อร้านล่ะมั้งครับ (Orphanage)
บรรยากาศร้านอีกมุมครับ เค้าตกแต่งแปลกตาและสวยดีครับ
บริเวณที่วางเค้กโชว์ จะมีนาฬิกาเรือนยักษ์อยู่ด้านบนครับ เข็มมันเดินได้จริงนะครับ แต่เวลาไม่ตรงครับ ประดับไว้งั้นๆเอง
น้ำดื่ม บริการตัวเองนะครับสำหรับร้านนี้ ... ดูแก้วเค้านะครับ ในรูปอาจจะเห็นไม่ชัด ... แต่มันเป็นแก้วสังกะสีโบราณครับ!! (คอนเซปท์ Orphanage ไง)
ตรงนี้มีรางรถไฟ กับรถไฟที่เข็นน้องหมีอยู่ด้วย ... ผมตัวไม่สูงนะ แต่ยังต้องก้มเลยครับ -*-
ก็ประดับประดากันไปครับ อันนี้เป็นเสาที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะเลยครับ เกะกะมากๆ แต่เราก็ไม่รำคาญครับ เพราะนอกจากรสชาติเค้กแล้ว ใจจริงก็ออกแนวอยากมาเอาบรรยากาศประหลาดๆปนน่ารักของร้านเค้าด้วยน่ะล่ะ ^ ^"
อย่างไรก็ตาม ... เค้กเค้าอร่อยนะ!!
อย่างชิ้นนี้ Strawberry Venice เป็นเค้กที่ไม่หวานเลี่ยนครับ ได้รสกำลังดี ครีมนมก็อร่อยมากๆ
ตัดกินดูเนื้อภายใน อร่อยครับชิ้นนี้
อีกชิ้นที่สั่งมาคือ Chocolate Lava ที่นี่ใส่ถ้วยมา ไม่ได้เห็นลาวาไหลนะครับ แต่ก็อร่อยดี รสละมุน แต่เมนูนี้ผมว่าธรรมดา เพราะรสชอคโกแลตมันไม่เข้มข้นเท่าไหร่ แต่ความนุ่มความหอม ใช้ได้ครับ
อันนี้ ... ผมไม่ได้สั่ง หน้าตาเหมือนสตรอเบอร์รี่สมูทตี้เลยครับ
อันนี้กาแฟร้อนครับ มาในถ้วยแบบนี้ สำหรับคาปูชิโน่
แล้วที่อยากสั่งอีกอย่างเพราะขวดมันน่ารักดีก็คือ "นม" ครับ
ที่สั่งมาคือนมรส Bubble Gum ครับ เป็นสีชมพูอ่อนๆ
พอเช็คบิลล์ เค้าจะให้กล่องไม้มาแบบนี้ครับ เราก็เอาเงินใส่กล่องนี้ แล้วเค้าก็ทอนมาจ้า
ก่อนกลับ ก็แวะถ่ายรูปเค้กและขนมของร้านนี้กันหน่อย มี Macaron ด้วยครับ แล้วก็เค้กหน้าตาน่ากินมากมาย
ปิดท้ายด้วยภาพเหล่าทหาร ของเล่นสำหรับเด็กกำพร้า ถูกเอามาใส่ถ้วย ตั้งอยู่ตามโต๊ะให้ได้เล่นกันเพลินๆ ... แต่ก็ไม่เห็นมีใครเล่นครับ เพราะโตๆกันแล้ว ออกแนวกลายเป็นของประดับกิ๊บเก๋มากกว่า ^ ^
ใครมองหาร้านเค้กน่ารักๆ ก็ recommend ครับ รสชาติไม่ถึงกับอร่อยเว่อร์นะครับ แต่อร่อยครับ
บรรยากาศน่ารัก น่านั่งมากๆ
สำหรับใครที่คิดจะไปทาน ร้านหาง่ายมากๆครับ ถ้าเดินจาก Siam Paragon ไปทาง Siam Center จะเห็นร้านทันทีบนฝั่งสยามเซ็นเตอร์เลยครับ ขึ้นบันไดเลื่อนไป ก็จะเจอร้าน Mr. Jones Orphanage ทันทีครับ ^ ^
จนมาบัดนี้ ก็ได้ลองลิ้มชิมรสเสียที!!
สาเหตุที่อยากลองกินที่ร้าน Mr. Jones แห่งนี้ สาเหตุก็ไม่ใช่อะไรหรอก
แบบว่าเดินผ่านร้านแล้วแบบว่าแหมๆๆ ร้านเค้าน่ารักอ่ะครับ อร่อยไหม? ไม่ได้นึกถึงเลย เหอๆๆ
การตกแต่งจะออกแนวไม้ๆ วินเทจกุ๊กกิ๊ก มีตุ๊กตาหมีประดับ ตัดกับเบาะผ้าสีน้ำทะเลตุ่นๆ แล้วก็มีเฟืองหมุนๆอยู่ด้านบน ...
ลักษณะเก้าอี้ที่นี่ก็จะแคบๆหน่อยครับ นั่งลำบากนิดนึงสำหรับคนตัวสูง แต่ดีไซน์คงเหมาะกับเด็กกำพร้าตามชื่อร้านล่ะมั้งครับ (Orphanage)
บรรยากาศร้านอีกมุมครับ เค้าตกแต่งแปลกตาและสวยดีครับ
บริเวณที่วางเค้กโชว์ จะมีนาฬิกาเรือนยักษ์อยู่ด้านบนครับ เข็มมันเดินได้จริงนะครับ แต่เวลาไม่ตรงครับ ประดับไว้งั้นๆเอง
น้ำดื่ม บริการตัวเองนะครับสำหรับร้านนี้ ... ดูแก้วเค้านะครับ ในรูปอาจจะเห็นไม่ชัด ... แต่มันเป็นแก้วสังกะสีโบราณครับ!! (คอนเซปท์ Orphanage ไง)
ตรงนี้มีรางรถไฟ กับรถไฟที่เข็นน้องหมีอยู่ด้วย ... ผมตัวไม่สูงนะ แต่ยังต้องก้มเลยครับ -*-
ก็ประดับประดากันไปครับ อันนี้เป็นเสาที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะเลยครับ เกะกะมากๆ แต่เราก็ไม่รำคาญครับ เพราะนอกจากรสชาติเค้กแล้ว ใจจริงก็ออกแนวอยากมาเอาบรรยากาศประหลาดๆปนน่ารักของร้านเค้าด้วยน่ะล่ะ ^ ^"
อย่างไรก็ตาม ... เค้กเค้าอร่อยนะ!!
อย่างชิ้นนี้ Strawberry Venice เป็นเค้กที่ไม่หวานเลี่ยนครับ ได้รสกำลังดี ครีมนมก็อร่อยมากๆ
ตัดกินดูเนื้อภายใน อร่อยครับชิ้นนี้
อีกชิ้นที่สั่งมาคือ Chocolate Lava ที่นี่ใส่ถ้วยมา ไม่ได้เห็นลาวาไหลนะครับ แต่ก็อร่อยดี รสละมุน แต่เมนูนี้ผมว่าธรรมดา เพราะรสชอคโกแลตมันไม่เข้มข้นเท่าไหร่ แต่ความนุ่มความหอม ใช้ได้ครับ
อันนี้ ... ผมไม่ได้สั่ง หน้าตาเหมือนสตรอเบอร์รี่สมูทตี้เลยครับ
อันนี้กาแฟร้อนครับ มาในถ้วยแบบนี้ สำหรับคาปูชิโน่
แล้วที่อยากสั่งอีกอย่างเพราะขวดมันน่ารักดีก็คือ "นม" ครับ
ที่สั่งมาคือนมรส Bubble Gum ครับ เป็นสีชมพูอ่อนๆ
พอเช็คบิลล์ เค้าจะให้กล่องไม้มาแบบนี้ครับ เราก็เอาเงินใส่กล่องนี้ แล้วเค้าก็ทอนมาจ้า
ก่อนกลับ ก็แวะถ่ายรูปเค้กและขนมของร้านนี้กันหน่อย มี Macaron ด้วยครับ แล้วก็เค้กหน้าตาน่ากินมากมาย
ปิดท้ายด้วยภาพเหล่าทหาร ของเล่นสำหรับเด็กกำพร้า ถูกเอามาใส่ถ้วย ตั้งอยู่ตามโต๊ะให้ได้เล่นกันเพลินๆ ... แต่ก็ไม่เห็นมีใครเล่นครับ เพราะโตๆกันแล้ว ออกแนวกลายเป็นของประดับกิ๊บเก๋มากกว่า ^ ^
ใครมองหาร้านเค้กน่ารักๆ ก็ recommend ครับ รสชาติไม่ถึงกับอร่อยเว่อร์นะครับ แต่อร่อยครับ
บรรยากาศน่ารัก น่านั่งมากๆ
สำหรับใครที่คิดจะไปทาน ร้านหาง่ายมากๆครับ ถ้าเดินจาก Siam Paragon ไปทาง Siam Center จะเห็นร้านทันทีบนฝั่งสยามเซ็นเตอร์เลยครับ ขึ้นบันไดเลื่อนไป ก็จะเจอร้าน Mr. Jones Orphanage ทันทีครับ ^ ^
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)